ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิวาห์ซ่อนเล่ห์

ขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่ส่งสาวน้อยผู้ซื่อสัตย์ลงมาในภาวะคับขัน อดิเรกพร่ำลิงโลดในใจ ตอนเห็นเช็คเงินสดฉบับนั้นอยู่ในมือของเธอ หลังจากรอจนบริกรในร้านเครื่องดื่มผละไป เขาจึงค่อยเริ่มเอ่ยกับหญิงสาวว่า
"ต้องขอบคุณที่โลกของเรายังเหลือคนดีมีความซื่อสัตย์ให้เราได้พึ่งพาอาศัยนะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณน้องมากทีเดียว ไม่งั้นพี่คงไม่แค่โดนไล่ออก แต่อาจโดนฟ้องร้องข้อหาทุจริตเงินบริษัท หลายล้านขนาดนี้ ติดคุกหัวโตเชียวครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ น้องก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเอาเงินจำนวนมากมายไปทำอะไร"
"หมายความว่ายังไงครับ"
"ไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะ น้องพูดไปเรื่อยเปื่อย"
อดิเรกมองอากัปกิริยาเฉื่อยชาของฝ่ายตรงข้ามด้วยความแปลกใจ ตาใสไม่ค่อยเปล่งประกายสดใสเท่าที่ควร เธอเหม่อมองถนนนอกกระจก นานทีจึงจะกะพริบตาเนือยๆ ริมฝีปากสีเรื่อตามธรรมชาติมักจะเม้มราวกับตัดสินใจกระทำบางอย่าง
"หมดธุระแล้ว น้องขอตัวลากลับก่อนนะคะ"
"เอ้อ.. อย่าหาว่าพี่.. "
"ไม่เป็นไรค่ะ"
เธอสั่นหน้าคลี่ยิ้มไม่แช่มชื่น มือข้างหนึ่งยื่นมาสะกดกิริยาหยิบยื่นน้ำใจเล็กน้อย อดิเรกก็ใช่ว่าจะมีเงินทองเหลือเฟือ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความซื่อสัตย์ เขาคิดว่าควรจะตอบแทนความดีบ้าง ทว่า.. เธอกลับปฏิเสธ แล้วกล่าวว่า
"เมื่อกี้นี้ น้องก็บอกไปแล้ว น้องไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินอีกแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ"
"ทำไมครับ.. น้องพูดเหมือนกับว่า เอ้อ.. "
อดิเรกยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เขาไม่ควรคิดในแง่ร้ายเกินไป แต่แววตาว่างเปล่าและใบหน้าเย็นชาของเธอ ก็อดที่จะทำให้คิดไม่ได้ว่า เธอกำลังเตรียมการลาโลก ดังนั้น เงินจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
"น้องลานะคะ"
"เอ้อ.. ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ เอ้อ.. เดี๋ยว.. เรายังไม่รู้จักกันเลย พี่ชื่ออดิเรก"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ น้องก็ชื่อน้องนี่แหละค่ะ ลานะคะ"
อดิเรกบอกตัวเองว่าไม่สบายใจกับเสียงอ้างว้างยามกล่าวคำอำลาของหญิงสาว ราวกับเธอล่ำลาเพื่อจากไปไกลแสนไกล และอาจไม่ได้พบหน้ากันอีก
เขาคงคิดมากไปกระมัง.. มืออวบอูมเก็บเช็คมาจ้องมองจำนวนเงินหลักล้านอย่างโล่งอกอีกครั้ง ก่อนจะพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ไม่กล้าใส่กระเป๋ากางเกงอีกแล้วล่ะ ตอนออกจากธนาคาร เขารู้สึกร้อนอบอ้าว จึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง ซึ่งคงเป็นตอนนั้นล่ะ ที่เช็คหล่นหาย กว่าจะรู้ตัวก็ตอนล้วงหยิบกุญแจรถอีกที ใจหายใจคว่ำไปเลย
"น้องเก็บเงินเลยครับ เอ้อ.. ที่เหลือนี่ไม่ต้องทอนนะน้อง"
อดิเรกยิ้มใจดีกับบริกรหนุ่ม เขารู้สึกแปลกใจกับแววตาของลูกค้าหลายคนที่นั่งโต๊ะถัดไป ก่อนจะรู้สึกตระหนกกับเสียงกรีดร้องของลูกค้าผู้หญิง ถัดจากนั้น ลูกค้าก็ลุกวิ่งกรูไปยังประตูทางออกของร้าน คุณพระช่วย.. นั่นคือหญิงสาวที่เพิ่งผละจากเขาไปเมื่อครู่นี้เอง เธอทำอะไร เดินทื่อไปกลางถนนราวกับต้องมนตร์สะกด
อดิเรกรีบผลุงออกจากร้าน แล้วซอยเท้าตรงไปยังร่างที่ล้มระทวย เฉียดฉิวตรงช่วงขาก็คือรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง มันหยุดกึกแต่ก็ยังทันได้เห็นลักษณะกระชากกระชั้น เสียงเบรกซึ่งเสียดสีกับผิวถนนดังอย่างหวาดเสียว เจ้าของรถรีบวิ่งลงมาหน้าตาตื่น
"เอ้อ.. ไม่.. ไม่ได้รับอันตรายใช่ไหมครับ ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าคุณผู้หญิงจะเดินทื่อมาอย่างนั้น"
"ไม่เป็นไรครับ เธอคงเอ้อ.. " อดิเรกไม่ทราบเหมือนกันว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง "ผมต้องขอโทษคุณแทนน้องสาวคนนี้ด้วย เธอเอ้อ.. ไม่ค่อยสบาย"
"ครับ ต้องการให้ผมช่วยอะไรไหม" คนขับรถก็แสนใจดี
"เอ้อ.. ไม่เป็นไร ผมช่วยเธอเอง เรา.. รู้จักกัน"
อดิเรกส่งยิ้มไม่ค่อยเต็มที่ เขาเพิ่งรู้จักเธอในร้านเครื่องดื่มไม่ถึงสิบนาทีนี้เอง เขารีบประคองร่างเย็นให้ลุกกลับเข้ามาในร้านเครื่องดื่ม ลูกค้าหลายคนมองตามอย่างใคร่รู้ ทุกคนทยอยกลับไปนั่งโต๊ะของตัวเอง บริกรรีบเสิร์ฟน้ำเย็นอย่างใจดี แต่หญิงสาวส่ายหน้า น้ำตาไหลเงียบงัน
"ทำไมน้องทำอย่างนั้น" อดิเรกถามเบาๆ เขามั่นใจแล้วว่าเธอต้องการลาจากโลกใบนี้จริงๆ
"น้อง.. " เธอกล่าวได้คำเดียว แล้วหยุดกลืนน้ำลาย เธอซับน้ำตาสายบางด้วยหลังมือ แล้วทอดตามองกลับไปยังถนนอีกครั้ง "น้องไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในโลกนี้อีกแล้วค่ะ"
"อะไรกัน" อดิเรกฟังไม่เชื่อหู "คนเราอยู่ในโลกนี้ด้วยความจำเป็นหรือครับ มีปัญหาอะไรใหญ่หลวงจนแก้ไม่ได้ เราแก้เองไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องของเรา ญาติมิตรของเรา หันหน้าไปพึ่งพาก็ได้นี่"
"น้องไม่มีใครแล้วค่ะ ทุกคนจากน้องไปหมดแล้ว"
"อะไรนะ" อดิเรกถามซ้ำ ไม่เชื่อหูอีกหน "จะเป็นไปได้ยังไงครับที่เราจะ.. "
"น้องถูกขายให้กับนายทุนที่ดินคนหนึ่ง เขากว้านซื้อผู้หญิงในละแวกใกล้เคียงไว้หมด เงินมันมากเสียจนพี่ทุกคนตาโต ตัดใจขายน้องสาวคนนี้"
"แต่ก็ไม่ถึงกับต้องคิดสั้นนี่ครับ น้องยังมีพ่อแม่"
"ไม่มีหรอกค่ะ" สาวน้อยส่ายหน้า สูดจมูกสะอื้น แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเครือว่า "พ่อแม่น้องตายไปหลายปีแล้ว น้องอาศัยญาติผู้พี่เรียนหนังสือ แต่คง.. ไม่ต้องแล้ว"
"เอ้อ.. " อดิเรกถูกความเศร้าและสิ้นหวังของเธอกดดัน เขาอึดอัดและหายใจไม่ค่อยออก "ปัญหาทุกปัญหา ต้องมีทางออกของมันนะครับ พี่ว่า.. "
"ก็นี่ไงคะทางออกที่ดีและเหมาะสมสำหรับน้องที่สุดแล้ว" เธอจึงย้อนกลับมา น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมายืนยันความคับแค้น "น้องตายเสียดีกว่าที่จะยอมตกเป็นนางบำเรอของนายทุนคนนั้น เท่าที่รู้มา นางบำเรอที่เขาเบื่อแล้วจะถูกส่งไปขายต่อตามซ่องโสเภณีทั่วประเทศ"
"เอ้อ.. "
"ชีวิตแบบนั้นมันต่างอะไรกับตาย"
ก็ใช่เหมือนกัน อดิเรกเห็นด้วยกับเสียงปรารภหดหู่ เธอคงเดินเข้าสู่ทางตันแล้วจริงๆ หาไม่แล้วคงไม่ตัดใจปลิดชีพตัวเองอย่างบ้าบิ่น เขาพอจะมีหนทางที่ดีกว่าช่วยหญิงสาวผู้นี้ได้บ้างไหม อดิเรกเร่งคิดเป็นการใหญ่ หากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่นี่รู้ทั้งรู้ เขาคงไม่กล้าปล่อยเธอไว้ตามลำพังอีก ดูจากสีหน้าจริงจังแล้ว เธอยังมุ่งมั่นต่อการจากลาไปจากโลกที่เธอคิดว่าไม่มีใครอีกแล้ว
"เอาอย่างนี้นะครับ เราค่อยๆ คิดหาทางแก้ปัญหากันไป อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจหุนหันแบบเมื่อกี้นี้เลย เอ้อ.. ถ้าน้องพอจะไว้ใจพี่ ก็ไปกับพี่เถอะ"
อดิเรกตัดสินใจกล่าวออกไป เขาพยักหน้ายืนยันใส่ดวงตาแดงก่ำที่มองมาอย่างลังเลกึ่งคลางแคลง รอยยิ้มของเขาจริงใจไม่มากพอกระมัง
"น้องครับ ในโลกใบนี้ยังมีที่ว่างมากมายสำหรับคนดี น้องเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แล้วพี่เองก็อยากจะบอกว่าพี่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ ที่จ้องซ้ำเติมความเจ็บปวดของใคร"
"น้อง.. "
"กับความตายน้องยังไม่กลัวไม่ใช่หรือ ก็ไม่จำเป็นอะไรต้องกลัวอีกแล้วนี่ เดินหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ตาย ทำไมไม่ลองเสี่ยงกับทางที่คนอื่นเลือกให้เดิน ไม่แน่ว่าบนทางสายนั้นอาจมีสิ่งดีๆ รอต้อนรับอยู่ก็ได้"
ขอบคุณสวรรค์ที่ประโยคเกลี้ยกล่อมของเขาได้ผล อดิเรกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางกลั้วน้ำตา เอาล่ะ คงต้องไปกันเสียที แหม.. สายตาลูกค้าในร้ายกำลังทำให้เขาฝันไปว่าตนเป็นพระเอกอันดับหนึ่งของเมืองไทยไปแล้ว จ้องกันจริงๆ


เมื่อออกจากร้านเครื่องดื่มแห่งนั้น อดิเรกพาเธอกลับมายังบ้านพัก ซึ่งก็เป็นบ้านพักพนักงาน และอยู่ไม่ห่างจากบริษัทมากนัก ภายในบ้านพักหลังใหญ่ถูกล้อมด้วยสวนสีเขียว สนามหญ้าด้านหน้ากว้างขวาง ตรงกลางประดับด้วยสระน้ำ ลอยละมุนด้วยบัวสีต่างๆ บริเวณด้านหลังยังมีซุ้มศาลาไว้นั่งพักผ่อนยามบ่ายหรือยามเย็น ตอนมาถึงก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว พนักงานบางคนเพิ่งจะกลับมาเหมือนกัน
"นี่เพื่อนที่ทำงานนะ ชื่อทรงวาด เรียกพี่วาดก็ได้นะ ใจดีและทำกับข้าวอร่อยมาก"
เขาแนะนำให้หญิงสาวรู้จัก พร้อมกับหาจังหวะสบตากับทรงวาดแวบหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสบตาทำไม แต่นัยที่แฝงมาก็ทำให้ทราบว่าไม่ใช่เรื่องปกติ หล่อนจึงแค่รับไหว้สาวน้อย แล้วชวนเข้าข้างใน
"ตามสบายนะ ยังมีห้องว่างอีกสองสามห้อง พนักงานที่นี่ตอนมาใหม่ๆ ก็พักที่นี่แหละ พอคุ้นเคยสถานที่ หรือมีเพื่อนมากขึ้น ก็มักจะชักชวนกันออกไปเช่าบ้านอยู่กันเอง"
"น้องมาอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต พี่ๆ จะไม่โดนเจ้านายตำหนิหรือคะ"
"ไม่เป็นไรหรอก" อดิเรกรีบเป็นฝ่ายบอก "เจ้านายพี่เขาใจดี ไม่มาหยุมหยิมกับเรื่องพวกนี้หรอก อีกอย่าง บ้านหลังนี้เจ้านายไว้ใจยกให้พี่เป็นคนดูแลเอง น้องก็.. พักให้สบายใจ"
หญิงสาวก้มหน้า แววตาสลดลง เธอยิ้มแทนคำขอบคุณที่ทรงวาดยื่นแก้วน้ำดื่มมาให้ เธอไม่เห็นผู้ใหญ่แอบสบตากันอีกแวบ แต่เธอได้ยินอดิเรกกล่าวย้ำว่า
"พี่ขอร้องนะ อย่าคิดทำร้ายตัวเองอีก หากน้องคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้ว ตอนนี้ก็ขอให้รู้ว่าน้องได้พบเพื่อนใหม่ชื่ออดิเรกกับทรงวาด อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเราสองคนไม่เหมาะจะเป็นเพื่อน อยากให้ใช้เวลาไตร่ตรองต่อไปนานๆ "
หญิงสาวอมยิ้ม ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หมายความตามที่พูดกลั้วยิ้มทะเล้นอย่างนั้น เขาไม่ต้องการให้เธอคิดสั้น ไม่ต้องการเห็นเธอจากโลกนี้ไปเร็วนัก
"พี่จะออกไปซื้อของหน้าปากซอย อยากได้อะไรบ้างไหม" ทรงวาดถามอย่างใจดี
อดิเรกทราบว่าเธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ทายว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเสียด้วยซ้ำ แล้วเธอก็ไม่ต้องการอีกแล้วด้วย
"เอ้อ.. แกเป็นผู้หญิง ก็ไปคิดเอาเองว่าต้องซื้ออะไรมาให้เด็กมันบ้าง รีบไปรีบกลับล่ะ ฉันมีงานจะปรึกษาด้วย เจ้านายเร่งมา"
"เออ เก่งแต่สั่งล่ะ"
อดิเรกหัวเราะ เขาหันมาพยักพเยิดให้หญิงสาวลุกตามไปห้องพัก บอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยไว้ใจให้เธออยู่ตามลำพัง แม้แต่ประตูบานนี้ เมื่อเปิดแล้วก็ไม่ค่อยเต็มใจปิดนัก เพราะคะเนไม่ได้ว่าเธอจะห้าวหาญอะไรขึ้นมาอีก
"น้องครับ พี่ขอร้องนะ"
"ค่ะ น้องสัญญาว่าจะไม่คิดสั้นอีก พี่มีน้ำใจกับน้องมากขนาดนี้ น้องจะก่อเรื่องให้พี่เดือดร้อนได้ยังไง เอาเป็นว่า น้องจะช่วยพี่ดูแลบ้านพักหลังนี้ทั้งหลังก็แล้วกันนะคะ"
"ดูแล" อดิเรกเลิกคิ้ว "ดูแลยังไง"
"ดูแลให้มันเรียบร้อย ทำความสะอาดทั้งภายในทั้งภายนอก ทำกับข้าวเช้าเที่ยงเย็น ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน รดน้ำต้นไม้"
อ้อ เอาสิ แบบนั้นก็เข้าท่า เธอไม่ว่าง สมองก็ไม่ว่างไปด้วย เขาเห็นด้วย แต่ให้ทำโดยไม่มีค่าแรงก็ไม่ดี เขาจึงบอกว่า
"เอาอย่างนี้ พี่จะลองขออนุญาตเจ้านายรับน้องไว้เป็นแม่บ้านประจำบ้านพัก น้องจะได้มีเงินเดือนไว้ใช้สอย"
"ไม่เป็นไรค่ะ น้อง.. "
"ไม่เป็นไรไม่ได้ น้องจะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีเงินไว้ใช้สอยเลย พี่เข้าใจว่าเงินไม่สลักสำคัญกับน้องอีกแล้ว แต่นั่นหมายถึงหลังจากที่น้องตายจากโลกนี้ไปแล้วต่างหาก เวลานี้ น้องยังมีลมหายใจ หัวใจยังเต้น เงินจึงกลับมามีความจำเป็นตามอัตภาพ"
หญิงสาวกราบลงบนอกของหนุ่มน้ำใจงาม เธอตื้นตันต่อมิตรภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบหลังจากสิ้นหวังต่อการมีชีวิต เธอรอดพ้นจากความตายคราแรก เพียงเพราะเห็นว่าเช็คใบนั้นร่วงลงจากกระเป๋ากางเกง แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่รับรู้ แล้วเมื่อเห็นจำนวนเงินในเช็ค เธอก็ตระหนักว่า หากเขาทราบภายหลังว่ามันสูญหาย เขาต้องเดือดร้อนยกใหญ่ เธอจึงคิดแค่ว่าก่อนตาย ขอทำความดีเป็นครั้งสุดท้ายแก่เพื่อนร่วมโลกเถอะ
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผลจากการทำความดีก่อนตาย จะน้อมนำให้เธอได้พบกับเพื่อนใหม่ ลมหายใจที่สูดได้เต็มปอดภายในบ้านพักหลังใหญ่ หัวใจเต้นได้สม่ำเสมอและคลายความกดดันจากทุกข์มหันต์ตลอดสองเดือนที่ผ่านไป
"อาบน้ำเถอะ แล้วพักผ่อนให้สบาย ยังไม่ต้องเริ่มงานวันนี้หรอกนะ เดี๋ยวพอพี่วาดทำกับข้าวเสร็จ พี่จะขึ้นมาเรียก"
"เดี๋ยวน้องอาบน้ำเสร็จแล้ว จะลงไปช่วยพี่วาดในครัวดีกว่าค่ะ"
"เอาอย่างนั้นก็ได้"
อดิเรกบอกยิ้มๆ ก่อนจะกลับลงมาพร้อมกับถอนใจพรู ทรงวาดย้อนกลับมาได้รวดเร็ว อ้างว่าลืมกระเป๋าเงิน
"ฉันถามหน่อย แกไปเก็บน้องคนนี้มาจากไหน"
"กลางถนนเลย กำลังฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย ฉันล่ะขอบใจเบรกรถคันนั้นจริงๆ ทำงานได้เยี่ยมเลย"
ทรงวาดตาโต รีบนั่งแล้วฉุดเพื่อนนั่งด้วย ท่าทางบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต้องรีบเล่าเลยนะ เพราะใคร่รู้อย่างแรง เป็นสาวเป็นแส้ทำไมคิดสั้น
"โถ.. " ครั้นพอได้ฟังเรื่องราวโดยละเอียดแล้ว เจ้าตัวก็ครางเวทนา "อายุยังน้อย ทำไมมาเจอเรื่องบีบคั้นหัวใจรุนแรงแบบนั้น ญาติก็ห่วยชะมัด ขายได้แม้กระทั่งน้องนุ่ง เงินทองที่ได้ไป ใช้ได้หมดทั้งชาติรึก็เปล่า แต่น้องสาวกลับต้องมาตายทั้งเป็น เลือดเย็นจริงๆ เลย"
"อืม แกรีบไปซื้อของ เดี๋ยวน้องจะลงมาช่วยทำกับข้าว" อดิเรกเร่งเพื่อนสนิท ก่อนจะบอกเชิงหารือว่า "พรุ่งนี้ฉันกะจะลองขออนุญาตคุณบี รับน้องไว้เป็นแม่บ้าน ไม่รู้ว่า.. "
"คุณบีไม่น่ามีปัญหา คุณเก๋ต่างหาก อาจเรื่องมาก"
ทรงวาดคาดเดาแล้วยักไหล่ น้ำเสียงที่พาดพิงถึงเจ้านายทั้งสองเหลื่อมล้ำกันทางความรู้สึก หล่อนภักดีต่อเจ้านายหนุ่ม เขาเป็นพี่ชายของเจ้านายสาว ผู้เจ้ายศเจ้าอย่าง และเอาแต่ใจวายร้าย หล่อนจึงให้ได้แค่ความเอือมระอา
"ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะหาจังหวะพูดตอนคุณเก๋ไม่อยู่ไง"
อดิเรกจึงบอกกลั้วหัวเราะให้เพื่อนสาวหัวเราะด้วย ก่อนจะแยกตัวไปซื้อของอีกครั้ง มานิตย์กลับเข้ามาพร้อมกับหอบข้าวของพะรุงพะรังมาด้วย อดิเรกตั้งใจจะขึ้นไปอาบน้ำ ก็เลยต้องเปลี่ยนใจ ช่วยรับของจากเพื่อน แล้วนั่งลงคุยอีก
"จะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วล่ะ" เพื่อนบอกพร้อมกับถอนใจเหนื่อยๆ แล้วตามด้วยบ่น "นี่ถ้าไม่ติดว่าเคยไปอาศัยบ้านคุณป้าตอนเรียนอยู่ที่โน่นละก็ จ้างให้ฉันก็ไม่ไปหรอก ไม่ชอบหน้าเจ้าน้องเขยนั่นเลย"
"อืม แกจะบ่นทำไม แกไม่ได้แต่งเองสักหน่อย น้องสาวแกต่างหาก แล้วเธอก็เลือกของเธอแล้ว แกมีหน้าที่ทำตัวเป็นพี่ชายที่ดี หอบข้าวของพวกนี้ไปทำให้เธอชื่นใจ"
"ก็ฉันไม่ชอบหน้านายสามารถนั่นนี่หว่า ทำเก๊กหล่อ หัวสูงราวกับพ่อแม่เป็นชาววัง ที่แท้ก็เจ้าของห้างทองไม่กี่แห่งเอง"
อดิเรกหัวเราะ เพื่อนพูดออกมาได้ยังไงว่าไม่กี่แห่งเอง แบบนั้นล่ะที่เขาเรียกว่าร่ำรวย อคติล่ะสิ เลยมองไม่เห็นฐานะมั่นคงของน้องเขย
"แกขับรถให้คุณเก๋นี่หว่า พอจะรู้ไหมว่าพรุ่งนี้คุณเก๋เข้าบริษัทตอนไหน"
"บ่ายโน่นแหละ ตอนนี้ก็ปร๋ออยู่พัทยากับเพื่อน ฉลองความโสดเริ่มต้นศักราชความหม้าย"
มานิตย์ยักไหล่เบื่อระอาเพื่อนหัวสูงของเจ้านายสาว นิสัยแบบนั้นก็สมควรให้สามีขอหย่า ดีแต่สวยกับเปรี้ยว คุณสมบัติแม่ศรีเรือนหาไม่เจอ เจ้านายสาวที่เขาแอบหลงรักก็ดูท่าว่าละม้ายคล้ายคลึง เฮ้อ.. ทำไงได้ รักไปแล้ว
อดิเรกมองเพื่อนทำตาปรอยแล้วอดโคลงศีรษะไม่ได้ เห็นใจว่าเพื่อนคิดหมายปองดอกฟ้า เจ้านายสาวไม่เคยชายตาแลเพื่อนรักด้วยฐานะอื่น นอกจากพนักงานฝ่ายสินเชื่อที่หน้าตาหล่อเหลา จนหล่อนชอบพาควงออกงานด้วย เอ้อ.. ดูเหมือนจะ.. แค่นั้นนะ
"หวังว่าไม่ลงแดงด้วยความคิดถึงตอนไปถึงเชียงใหม่นะเพื่อน" เขาสัพยอก แล้วกวาดมองข้าวของบนเก้าอี้แวบหนึ่ง
"เออ กำลังกังวลอยู่นี่แหละ ฉันไม่เข้าใจเลย มีผู้หญิงมาให้รักตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่รัก ไพล่ไปรักคุณเก๋ เธอไม่เคยเห็นหัวฉันสักนิด เรียกใช้เหมือนคนขับรถ"
ร่างสูงดูดีในชุดทำงานสีนวลยืนขึ้น บิดซ้ายบิดขวาขับไล่ความเมื่อยล้า เขาเพิ่งกลับจากพัทยา ผจญกับรถติดเป็นแพยาวตอนเข้าเขตกรุงเทพ น่าเบื่อมาก เอ๊ะ.. ความน่าเบื่อมากถูกขับไล่ด้วยความฉงน เมื่อสายตาปะทะกับร่างเล็กของสาวแปลกหน้า เธอลงมาจากบันได ใครกัน..
"ฉันชวนมาเป็นแม่บ้าน พรุ่งนี้จะขออนุญาตคุณบี" อดิเรกบอกเพื่อนก่อนที่เจ้าตัวจะถามเสียอีก
"ไปชวนมาจากไหน"
"เออ จากไหนก็ช่าง ชวนมาได้ก็แล้วกัน แกทำตัวเป็นพี่ที่ดีหน่อย อย่าก้อร่อก้อติกให้น้องมันเสียขวัญ"
"เฮ้ย นี่ฉัน.. มานิตย์รูปหล่อนะเว้ย เคยทำให้ผู้หญิงที่ไหนเสียขวัญวะ"
อดิเรกหัวเราะหมั่นไส้ เขาแนะนำให้หญิงสาวได้รู้จักกับเพื่อนอีกคน ทั้งสองส่งยิ้มกันตามมารยาท อดิเรกอมยิ้ม เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากอาสาหอบข้าวของไปเก็บให้ สามารถก็ไม่ขัดไมตรีล่ะ
"น่ารักนี่หว่า" เจ้าตัวปรารภตาปรอยตามหลังร่างเล็ก แล้วหันมาหลิ่วตากับอดิเรก
"น่ารักก็ต้องเอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ฉันขอล่ะ เด็กมันไม่มีที่ไป ไร้ที่พึ่ง แล้วก็.. เพิ่งจะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด แกอย่าไปทำรุ่มร่ามจนน้องมันเตลิดอีก"
อดิเรกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เพื่อนฟังไปผงกศีรษะไป ตาปรอยเปลี่ยนเป็นตาขรึม รู้สึกเวทนาสาวน้อยจนลืมท่าทางกรุ้มกริ่มของตัวเองเสียสนิท
"หน้าตาก็พอไปวัดได้ตอนสายๆ หุ่นไม่ดีนัก แต่ก็ไม่น่าอายหากจะควง ทำไมแกไม่ลองฉวยโอกาสนี้ หาคู่ครองให้ตัวเอง เฮ้ย ฉันว่าเธอเหมาะกับแกนานายอดิเรก"
คนฟังยิ้มเครียด ซัดตาขวางใส่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย เขาเพิ่งขอร้องไปหยกๆ ว่าอย่าคิดอกุศล ทำไปทำมา เพื่อนกลับมาโยนให้เขาเสียแล้ว คิดได้ยังไง
"ปากแกไม่สร้างสรรค์" เขาด่าเพื่อน "แกอย่าลืมว่าฉันเป็นคนช่วยชีวิตน้องออกมาจากความตายนะโว้ย หรือแกจะให้ฉันผลักกลับเข้าไปอีก นี่ถ้าเปรียบฉันตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสมภาร ไม่กินโว้ยไก่วัดน่ะ ไม่กิน"
มานิตย์หัวเราะร่วน ชอบใจที่เห็นเพื่อนหงุดหงิด แต่ลึกๆ แล้ว เขาดีใจมากที่คบหาอดิเรกไว้เป็นเพื่อน เพราะหนุ่มโสดร่างท้วมผิวคล้ำผู้นี้ เป็นคนดีมีเมตตา และรักเพื่อนรักพ้องยิ่ง ใครมีปัญหาเดือดร้อนอะไร วิ่งโร่มาให้ปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือ อดิเรกไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง เคยแม้กระทั่งออกหน้ายืมเงินบริษัทให้เพื่อนคนหนึ่ง แต่สุดท้ายเพื่อนก็เชิดเงินจำนวนนั้นหนีหน้าไปเลย จนป่านนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาช่วยผ่อนชำระหนี้ เพื่อนทุกคนสงสารอดิเรกกันทั้งนั้น แม้แต่เจ้านายหนุ่มก็ยังออกปากว่า ทั้งสงสารทั้งสมน้ำหน้า
แล้วเย็นวันนี้.. อดิเรกยังได้พิสูจน์ความเป็นคนดี ด้วยการหยิบยื่นไมตรีแก่สาวแปลกหน้าที่พบและรู้จักโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างกระทำดีต่อกัน กุศลจึงน้อมนำให้มาพักพิงใกล้เคียง แต่มันคงจะดีไม่น้อย หากสวรรค์จะเมตตาคนดีอย่างอดิเรก ดลใจให้สาวน้อยแปลกหน้าผู้นั้นมีใจโน้มเอียง ใช่แต่เขาเสียเมื่อไหร่ที่อยากเห็นอดิเรกมีความสุข มีคู่ครอง เพื่อนทั้งบริษัทก็เฝ้ารอเวลาที่ว่านั่น.. เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น