ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์


-->
ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์" กลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนทำงานอย่างเราไม่ใช้ ไม่ได้แล้ว ดังนั้นควรรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องด้วย วันนี้เรามีเกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์ สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตาได้ จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
ส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ หลังปวด หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศาจัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมาก
อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีก
จะใช้คอมพิวเตอร์ครั้งต่อไปก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับวิธีทำแกงเขียวหวาน

ขึ้นชื่อว่า แกงเขียวหวาน แค่ได้ยินชื่อ ก็น้ำลายสอ ออกมารอออยู่ในปากแล้วค่ะ แกงไทย ตระกูลนี้แปลกแตกต่าง จากแกงกะทิ ชนิดอื่นๆ หลักๆเห็นจะเป็นสีของแกง ที่มีสีเขียว ตามสีของพริกที่ใช้ ทำพริกแกงค่ะ แต่คนไทยก็พลิกแพลง แกงเขียวหวานให้ทานได้ไม่จำเจ จากส่วนผสมหลักที่ใช้แกง อาทิเช่น แกงเขียวหวานไก่ (อันนี้แม่เขียวหวานชอบเป็นที่สุดค่า) แกงเขียวหวานหมู แกงเขียวหวานเนื้อ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ค่ะ วิธีทำแกงเขียวหวาน ให้อร่อย จุดหลักก็เหมือนกับ การทำแกงชนิดอื่นๆค่ะ น้ำพริกแกง สำคัญมากๆ ค่ะ ซึ่งแม่เขียวหวานเอง ทุกวันนี้ ไม่มีเวลามานั่งตำน้ำพริกแกงเอง แล้วล่ะค่ะ ใช้วิธีลองผิดลองถูกค่ะ ลองสลับซื้อ ของเจ้าโน้นที ของเจ้านี้ที ว่าเวลาเอามาแกงแล้ว ของยี่ห้อไหน น้ำพริกแม่อะไร อร่อยที่สุด ครั้งต่อไป แกงก็ซื้อเจ้าที่เราถูกปากที่สุดค่ะ สิ่งสำคัญถัดไป ก็คือกะทิค่ะ ถ้าทำได้อยากให้ใช้กะทิสด แบบว่าซื้อมะพร้าวขูดมาคั้นเอง โดยจะต้องซื้อมะพร้าวใหม่ๆ จริงๆ ขูดใหม่ๆ คั้นกันใหม่ๆ (อุ๊ย.. โดนค้อน...โอเคค่ะ เอาเคล็ดลับ แบบเหนื่อยน้อยหน่อย ไม่ต้องขูดมะพร้าว แบบมะหมี่ก็ได้) แต่ถ้ามันลำบากเหลือแสน ก็ใช้กะทิกล่องก็ได้ค่ะ เวลาแกง ไม่ว่าจะแกงเขียวหวาน หรือแกงไหนๆ ต้องผัดน้ำพริกแกงก่อนค่ะ เอาหัวกะทิ ลงไปเคี่ยวในกะทะให้ แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงไป ผัด ผัด แล้วก็ผัด พอส่วนผสมเริ่มแห้ง ก็เติมกะทิลงไปอีกพอแฉะ แล้วก็ผัด ผัด ผัด จนน้ำพริกแกงแตกมัน มีกลิ่นหอมค่ะ (ไม่แนะนำให้ผัดน้ำพริกแกง ในครัวปิดที่ไม่มีเครื่องดูดควัน นะคะ แบบว่าจามกันทั่วบ้านแน่ค่ะ) หางกะทิเวลาแกง เราไม่ควรใส่น้ำหางกะทิมากจนเกินไปคะ ใส่แต่พอทำให้แกง "ขลุกขลิก" แกงจะได้รสชาติเข้มข้นค่ะ

เมนูอาหารประจำตู้เย็น สำหรับคนลดความอ้วน

ถ้าเพื่อนๆ กำลังอยู่ระหว่าง แผนการ ลดน้ำหนัก (ที่ดูท่านับวัน จะทะลุทะลวง เพดานขึ้นไปทุกที) แล้วละก็ วันนี้แม่สาลิกา มีเมนูอาหาร หรือ รายการอาหารง่ายๆ ที่ควรรีบหา มาใส่ตู้เย็นไว้มาฝากค่ะ ลองมาสำรวจกันดูซิ ว่าในตู้กับข้าว หรือตู้เย็นของเพื่อนๆ มีรายการอาหารเหล่านี้ อยู่หรือยัง
เริ่มจาก สลัดผัก พร้อมหม่ำ เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่าย ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ในห่อ จะมีผักใบเขียว ประเภท ผักกาดแก้ว ผักโขม แครอท แต่ถ้าอยากประหยัด จะซื้อมาทำเตรียมไว้เอง ก็ไม่ผิดกติกานะคะ นอกจากนั้น ผักอื่นๆ อย่าง แตงกวา มะเขือเทศราชินี มีติดไว้ก็ดีค่ะ สลัดผักทานยังไงก็ไม่อ้วนค่ะ แต่ถ้ากลัวว่า ลำพังสลัดผัก จะสลัดความอยากอาหารไว้ไม่อยู่ สลัดผลไม้ ก็น่าสนใจไม่หยอกค่ะ เอาผลไม้หลากหลายชนิด มาปอกและหั่นเป็นชิ้นพอคำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่โถแก้ว หรือชามใสๆ ให้ดูน่ากิน น้ำซอสหรือน้ำสลัด ก็ให้ซื้อไว้แต่แบบ น้ำสลัดไขมันต่ำ ย้ำ ไขมันต่ำนะคะ ถ้าเราจัดผักผลไม้ไว้อย่างดี แต่คลุกเคล้า ด้วยสลัดครีมข้นหวานมัน ก็สงสัยจะหยุดพิกัดน้ำหนักเอาไว้ได้ยากล่ะคะ แต่ถ้าเกิดเบื่อๆ สลัดผักน้ำใส จะเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็น น้ำยำแบบไทยๆ ประเภทน้ำมะนาว ผสมเกลือพริกป่น ดูก็อร่อยได้แบบไม่อ้วนค่ะ
ต่อด้วย เนื้อสัตว์ โปรตีนสูง ไขมันต่ำ อย่าง อกไก่ย่าง เสต็คหมู กุ้งต้ม ทูน่ากระป๋อง เอาไว้ทานพร้อมสลัดผักยังไงล่ะ
นมโลว์แฟต ถึงจะลดน้ำหนัก แต่ร่างกายก็ต้องการโปรตีน และแคลเซียม อยู่นะคะ นมประเภทไขมัน 0% ทั้งหลาย ขาดไม่ได้นะคะ เดี๋ยวนี้มีให้เลือกดื่ม เยอะแยะค่ะ ยืนอยู่หน้าตู้แช่เย็น ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทีไร ตาลายทุกที หรือเพื่อนๆ จะเลือกเป็น นมเปรี้ยวไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ ก็ ได้นะคะ เพื่อไม่ให้ เมนูอาหาร เพื่อการลดน้ำหนัก ของเราน่าเบื่อจนเกินไป
ขนมปังโฮลวีต อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ขนมปังค่ะ ถ้าเพื่อนๆ บอกว่าการ ลดความอ้วน คือการงดแป้งทั้งหมด อยากจะขอบอกให้ลอง ทบทวนดูใหม่อีกทีค่ะ เพราะร่างกาย ยังต้องการสารอาหาร ประเภทพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต อยู่นะคะ ส่วนตัวแล้วแต่สาลิกา มองว่าหากบอกให้ทานข้าว 1 จานหรือ 1 ทัพพี ปริมาณการตัก ของแต่ละคนคงจะ ไม่เท่ากันเป็นแน่แท้ บางคนจานเล็ก บางคนอาจตัก จานใหญ่ยังกะจานเสต็ค บางคนตักข้าวทัพพีเล็ก บางคนตักข้าวทัพพีใหญ่ แถมตักซะพูนทัพพี อีกต่างหาก แต่ถ้าหาก บอกว่าทานขนมปัง 1 แผ่น บวกลบคูณหาร ต่างยี่ห้อ ก็คงน้ำหนักไม่ต่างกัน ซักเท่าไหร่ค่ะ ว่าแต่ทาน 1 แผ่น อย่าเผลอไปทาน 1 ห่อก็แล้วกัน อ้อ แล้วก็อย่าทานขนมปังตอนมื้อเย็นค่ะ เราควรทานขนมปัง ตอนมื้อเช้า เพื่อให้เป็นเหมือนการสตาร์ทเครื่องยนต์ เรากายมีพลังงาน เอาไปใช้เผาผลาญ ไขมันเก่าออกมาใช้ค่ะ
ด้วย เมนูอาหารเพื่อการ ลดหน้าหนัก อย่างง่ายๆ ตามที่แนะนำมานี้ แม่สาลิกา มั่นใจว่า จะสามารถ ดึงไขมันออกจากพุง ของเพื่อนๆ ได้อย่างแน่นอน สำคัญแต่ว่า จัดอาหารใส่ตู้เย็นไว้แล้ว ก็รับประทานอาหารที่มีในตู้ด้วยนะค้า ไม่ใช่จัดเมนูไว้อย่างสวยหรู พอถึงเวลาหิวมาก็หน้ามือ ก็เดินไปทานข้าวขาหมู ที่หน้าปากซอย (เหมือนใครก็ไม่รู้ หุ หุ) อันนี้อาจารย์สำนักไหน ก็คงช่วยท่าน ไม่ได้ล่ะเจ้าค่า

ความรัก แค่...ความผูกพัน

วันนี้ เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้... แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป สักวันเราจะรู้ว่า สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตวันหนึ่ง หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..ขาดไม่ได้ เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนักเวลา.. จะสอนเราเองว่า ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้นๆอย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง คิดเสียว่าเราโชคดีที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารักความผูกพันก็เหมือนกับความรัก หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่า ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเองไว้กับสิ่งนั้นๆ เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่งเปรียบเสมือน เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนมพออากาศร้อนหน่อย...เราอาจต้องการน้ำเย็นๆบางครั้งที่เราไม่สบาย...เราอาจต้องการน้ำอุ่นใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ...ต้องเติมสิ่งต่างๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสมหากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำแล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที ในแก้วใบเดียวกันแก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..เริ่มแตก ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา...ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่งนั้น..ไม่ผิด ถ้าเราค่อยๆปรับใจ..ปรับตัวของเราเอง..ให้กลับคืนในเวลาที่ควร เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาสได้ผูกพัน ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาสได้รักนั่นเองถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น... คือ ความรักถ้าคุณเศร้า..เหงา..คิดถึงเค้า..อยากเจอ..อยากพูดคุย... คือ ความรักถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ... คือ ความใคร่อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียวถ้าคุณเมามาย..เค้าลูบหลังไหล่..ดูแล... คือ ความรักที่บริสุทธิ์ใจถ้าคุณเมามาย..เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย... คือ ความใคร่จากเค้าของคุณถ้าคุณเข้าหา.. แต่เค้าหนี... ... คือ ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้วถ้าคุณหนี.. แต่เขาวิ่งตามมา... ... คือ ความรัก ที่ยังไม่มีจุดจบถ้าคุณร้องไห้ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ... คุณคือ คนโง่ และบ้า อย่างน่าอายแต่ถ้าคุณพอใจ..จงรัก..และมอบความรักให้กับเค้า... แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตามจงดีใจที่ได้รักซะวันนี้.. ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้าจงภูมิใจที่มีความใคร่.. เสน่หาเพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป...

ความรัก

ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม และความรัก ในมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
สำหรับใครที่ยัง........"โสด"
ความ รักนั้นมันก็เหมือนกับ"ผีเสื้อ"ยิ่งคุณวิ่งเข้าหามันเท่าไหร่ มันก็จะห่างคุณออกไปเท่านั้น แต่ถ้าคุณปล่อยมันไปมันจะเข้ามาหาคุณเองแหละ ถ้าคุณไม่คาดหวังกับมันมาก ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข แต่มันก็สามารถทำให้คุณเจ็บปวดได้บ่อยๆ เหมือนกัน แต่ความรักเป็นสิ่งที่พิเศษ ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคนที่เค้าดีที่สุดสำหรับคุณ ดังนั้นค่อยๆหาไปล่ะกันนะและเลือกคนที่ดีที่สุด สำหรับคุณ......
สำหรับใครที่....."ไม่โสด"
เค้า บอกว่า... ความรักไม่ได้มาจากคนที่สมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง แต่มันจะมาจากคนที่สามารถช่วยคุณให้เป็น คนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้.....
สำหรับใครที่เป็น......."เสือผู้หญิงหรือคนเจ้าชู้"
อย่า พูดคำว่า"รัก"เลยถ้าคุณไม่ได้กมายความถึงคำๆนั้นจริง อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเค้าเลย ถ้าคุณจะทำให้เค้าเสียใจ อย่าไปมองลึกถึงดวงตา ถ้าทุกคำพูดของคุณโกหกทั้งเพ มันไม่ยุติธรรมถ้าผู้ชายทำให้ผู้หญิงเขาหลงรัก แล้วไม่ใส่ใจใยดี ถ้าผู้หญิงต้องอกหักและในทางกลับกันของ ผู้หญิงก็เหมือนกัน......
สำหรับใครที่......."แต่งงานแล้ว"
ความ รักไม่ใช่..."มันเป็นความผิดของคุณ" แต่จะเป็นคำว่า "ฉันขอโทษ" มากกว่าที่จะบอกว่า "ไปอยู่ไหนมา" แต่จะเป็นคำว่า "ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ" มากกกว่าที่จะบอกว่า "คุณทำได้อย่างไร" ไม่ใช่คำที่พูดว่า... "ฉันอยากให้คุณอยู่ตรงนี้" แต่จะเป็นคำว่า....." ขอบคุณนะที่เธออยู่ตรงนี้กับฉัน"
สำหรับใครที่......"หมั้นหมายกันอยู่"
สิ่ง ที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่า การอยู่ด้วยกันเป็นปีๆ แล้วไม่ได้ทะเลาะกัน แต่จะอยู่ที่ว่า ความดีที่คุณทั้งสอง มีต่อกันมากกว่า......
สำหรับใครที่......"อกหัก"
การอก หักมันยาวนานพอๆ กับที่คุณต้องการให้มันอยู่กับคุณหรือ อยากจะตัดใจให้ออกไปจากใจของคุณ สิ่งที่สำคัญก็คือว่า มันไม่ใช่จะต้องอยู่กับการอกหัก แต่มันอยู่ที่ว่า....เราเรียนรู้จากมันได้แค่ไหน ต่างหาก......
สำหรับใครๆที่...."ยังไม่เคยรัก"
จะ รักได้อย่างไร:.... อย่ารักแบบหัวปักหัวปำเป็นตัวของตัวเองบ้าง แต่อยากให้เห็นแก่ตัวเองทั้งหมด รู้จักแบ่งปันและอย่าเอาเปรียบ พยายามเข้าใจกันและกันมากกว่าที่จะบอกว่า ตัวเองต้องการอะไร ถึงจะเจ็บก็เจ็บ แต่อย่าเอาความเจ็บนั้น ติดตัวเสมอไป สำหรับใครที่......"มีคนหลงรักอยู่" เค้าบอกว่า...มันเจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารัก ไปมีความรักกับคนอื่น แต่มันจะเจ็บปวดยิ่งกว่าถ้าคนที่เรารัก ไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับคุณ
สำหรับใครที่......"กลัวต่อการสารภาพ(รัก)"
ความ รักมันเจ็บปวด ถ้าคุณต้องไปบอกเลิกกับใครสักคน แต่มันจะเจ็บยิ่งกว่าถ้ามีคนมาบอกเลิกกับคุณ แต่มันจะเจ็บสุดๆ ถ้าคนที่คุณรัก เค้าไม่รู้เลยว่า คุณรักเค้าแค่ไหน?
สำหรับใครๆที่ยัง......."คบๆกันอยู่"
เค้า บอกว่า..สิ่งที่เสียใจในชีวิตก็คือ การที่เราพบใครสักคนที่เรารัก และคบกันไปจนถึงวันสิ้นสุด ความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง..... คุณเสียเวลาไปเป็นปีๆ ให้กับคนที่คนที่เค้ายังไม่ใช่คนๆนั้นสำหรับคุณ แต่ถ้าเค้าคนนั้นของคุณ ไม่ใช่คนที่ใช่เลยแล้วล่ะก็ คุณจะมาเสียเวลาเป็นปีๆให้เค้าทำไม... สู้เลิกกันเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า.....
สำหรับเพื่อนๆทุกๆคน.......
เค้า บอกว่า.... ฉันปรารถนาให้ทุกๆคนที่มีความรัก จงซื่อสัตย์เข้มแข็ง อย่าอ่อนไหวอย่าโลเล อย่าเห็นแก่ตัว ให้ความรักของคุณเจริญเติบโตมากขึ้นๆ ให้ความฝันความหวังและ ให้รางวัลชีวิตแด่กันและกัน

เรื่องราวของหนุ่มเพลย์บอย ที่จับพลัดจับผลูมาทำงานในร้านฟาสต์ฟู๊ดส์ เพื่อจีบหญิงสาวในดวงใจ

แสงแดดยามเช้าทะแยงผ่านผ้าม่านเข้ามาแทงตาของชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้า เปลือยอกเผยกล้ามเนื้อสมส่วนในแบบฉบับของนักกีฬาและผิวขาวที่บ่งบอกถึงการเป็นคนไทยเชื้อสายจีน หลับใหลอยู่บนเตียง ในห้องนอนแคบ ๆ ที่พื้นห้องรกไปด้วยกองเสื้อผ้า และเกลื่อนไปด้วยเศษซองขนมขบเคี้ยวและกระดาษห่อขนมรวมถึงขวดเบียร์ที่กระจัดกระจายอยู่ปลายเตียง
แต่มันก็ไม่ได้รบกวนการนอนหลับของเขาเท่ากับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ที่ดังอย่างไม่ลดละจนชายหนุ่มต้องงัวเงียโงหัวขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ และใช้เวลาครู่หนึ่งในการเรียกสติ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมากดปุ่มรับสาย ทำให้เสียงเพลงเรียกเข้าในจังหวะที่เร้าใจดับลงในทันที
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุกจากการหลับใหลกระแอมเบา ๆ ก่อนกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย
“ฮัลโหล...” เขากล่าวพลางยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นขยี้ศีรษะแรง ๆ ราวจะขับไล่ความง่วง
“แอนดี้... ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” เสียงจากปลายสายแว่วมา ทำให้ชายหนุ่มหันไปชำเลืองดูนาฬิกาปลุกที่อยู่ที่หัวเตียง ซึ่งบ่งบอกว่าเวลาย่างเข้าสิบโมงเช้าแล้ว
“อ๋อ... ตื่นแล้ว ๆ” แอนดี้ปดไปดื้อ ๆ พลางเบือนหน้าหนีจากโทรศัพท์เพื่อแอบหาว “พอดี... เก็บของอยู่เลยมารับสายช้าไปหน่อย”
“โอเค แล้วไป... นึกว่ายังนอนไม่ตื่น กลัวเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา”
“ขอบใจมาก เรย์ ที่อุตสาห์โทรมาปลุก... เฮ้ย โทรมาหา” แอนดี้รีบเปลี่ยนเรื่องแทบไม่ทัน เมื่อหลุดปากเผยความจริงออกไป ทำให้เพื่อนรักที่อยู่ปลายสายหัวเราะร่วน
“เดี๋ยวนายจะมารับเรากี่โมงนะ...” แอนดี้เปลี่ยนเรื่องในทันที
“เครื่องบินออกสองทุ่ม เราคงไปถึงบ้านนายประมาณห้าโมงกว่า ๆ นะ” เสียงคู่สนทนาตอบ
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุดจากภวังค์พยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่นายจะยังไม่กลับไปเมืองไทยกับเราแน่หรือ...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“อือ” เรย์ ตอบ “เรากะจะอยู่ที่ นิว ลอนดอน ต่ออีกสักพัก...”
“แต่สถานการณ์ที่นี่ มันไม่ค่อยดีแล้วนะ...” แอนดี้แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
“ก็จริง...” อีกฝ่ายรับคำอย่างเห็นพ้อง “แต่ก็อย่างว่า เรากลับไปเมืองไทยตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรอยู่ดี”
แอนดี้ถอนหายใจอย่างเห็นใจ และไม่รู้จะเอ่ยอะไรที่ดีไปกว่านั้น
“งั้นเดี๋ยวเจอกันตอนห้าโมงนะ...” เรย์ สรุป ก่อนที่จะวางสายไป
ทิ้งให้แอนดี้ หันมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเหนื่อยใจกับข้าวของที่ยังหลงเหลือให้เก็บ...
และใจหายที่จะต้องเดินทางกลับไปเมืองไทยอย่างถาวร หลังจากที่จากบ้านมาศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศนิว ลอนดอน ถึงสี่ปี


“ฮัลโหล...” แอนดี้ละมือจากการยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางอย่างลวก ๆ และกดปุ่มรับสาย
“แอนดี้จ๋า...” เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นจากปลายสายทันที
“มิเชล” ชายหนุ่มร้องทัก ก่อนที่จะยันตัวเองลุกขึ้นยืน และถือโอกาสพักจากการเก็บของและเดินไปหาอะไรทานดับกระหายเสียหน่อย
“แอนดี้จะกลับเมืองไทยแน่แล้วหรือ...” เสียงจากปลายสายออดอ้อน
“ใช่จ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางยื่นมือไปเปิดประตูตู้เย็น และคว้าน้ำส้มในกล่องกระดาษออกมาถือในมือ เขามองไปที่แก้วน้ำที่อยู่ในตู้ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะขี้เกียจล้างแก้วเมื่อใช้เสร็จ เขาจึงเอนคอหนีบโทรศัพท์มือถือไว้ระหว่างหูกับใหล่ และใช้มือบิดเกรียวเปิดฝาออก แล้วยกกล่องกระดาษขึ้นเทเครื่องดื่มลงคอ
“อย่างนี้ ฉันก็คิดถึงเธอแย่เลยสิ”
แอนดี้ อมยิ้ม และยกหลังมือขึ้นป้ายหยดน้ำส้มที่มุมปาก
“เธอก็มาหาฉันที่กรุงเทพสิ...” ชายหนุ่มหยอก
“หากฉันว่าง ฉันจะไปแน่ ๆ” มิเชลเอ่ยอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ และเดินออกไปจากบริเวณห้องครัว แต่ข้าวของที่วางระเกะระกะ ทำให้เขาสะดุดเล็กน้อย และทำให้น้ำส้มกระฉอกออกมาจากกล่อง หกลงไปเปอะเปื้อนบนพื้นห้องรับแขก
แอนดี้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา และกวาดสายตาหาอะไรที่พอจะซับน้ำส้มได้ แต่ก็ตัดสินใจลงเอยด้วยการคว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่กะจะใช้ห่อของกันกระแทก มาทำหน้าที่ผ้าซับน้ำแทน
“วันนี้ ไม่ให้ฉันไปส่งแน่เหรอ...” มิเชลถามอย่างออดอ้อนอีกครั้ง
“จ้า ก็เมื่อวันก่อนเราก็ทานข้าวด้วยกันแล้วนี่” แอนดี้บอก ก่อนที่จะรีบเสริมขึ้น “ฉันเกลียดการอำลาที่สุด และไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอ”
หญิงสาวที่ปลายสายหัวเราะเสียงใสอย่างถูกใจกับคำหวานของหนุ่มไทย
“ฉันคงคิดถึงเธอมาก ๆ เลย...” เธอบอก “ถ้างั้นไปถึงเมืองไทยแล้วส่งข่าวบอกฉันด้วยนะ”
“จ้า...” แอนดี้รับคำลากเสียงยาว “ฉันก็จะคิดถึงเธอเหมือนกัน”


“ฮัลโหล...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนกรอกเสียงลงในโทรศัพท์มือถือ
“สวัสดีจ๊ะ...” เสียงแว่วจากปลายสายดังขึ้นในทันที
“สเตฟ... เป็นไงบ้างเอ่ย ดีใจจังเลยที่เธอโทรมา” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงสนิทสนม และพูดคุยกับสาวชาวนิว ลอนดอนอย่างเป็นกันเองอีกพักใหญ่
“ให้ฉันไปส่งเธอไม่ได้เหรอ...” สเตฟานนี่ ถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ไม่ต้องลำบากหรอกจ๊ะ... และฉันก็ไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอด้วย” ชายหนุ่มยอดคำหวาน และได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเขินอายของอีกฝ่ายหนึ่งแว่วผ่านสายโทรศัพท์มา
“และอีกอย่างหนึ่ง เมืองไทยกับนิว ลอนดอน อยู่ใกล้กันแค่นี้ เดี๋ยวฉันก็จะกลับมาเยี่ยมเธออีก” แอนดี้เสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สัญญานะ...”
“สัญญาสิจ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางค่อย ๆ รูปซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบหรู ดีไซน์เก๋ ราคาแพง ซึ่งเป็นการยุติการเก็บของสำหรับเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที