ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องราวของหนุ่มเพลย์บอย ที่จับพลัดจับผลูมาทำงานในร้านฟาสต์ฟู๊ดส์ เพื่อจีบหญิงสาวในดวงใจ

แสงแดดยามเช้าทะแยงผ่านผ้าม่านเข้ามาแทงตาของชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้า เปลือยอกเผยกล้ามเนื้อสมส่วนในแบบฉบับของนักกีฬาและผิวขาวที่บ่งบอกถึงการเป็นคนไทยเชื้อสายจีน หลับใหลอยู่บนเตียง ในห้องนอนแคบ ๆ ที่พื้นห้องรกไปด้วยกองเสื้อผ้า และเกลื่อนไปด้วยเศษซองขนมขบเคี้ยวและกระดาษห่อขนมรวมถึงขวดเบียร์ที่กระจัดกระจายอยู่ปลายเตียง
แต่มันก็ไม่ได้รบกวนการนอนหลับของเขาเท่ากับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ที่ดังอย่างไม่ลดละจนชายหนุ่มต้องงัวเงียโงหัวขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ และใช้เวลาครู่หนึ่งในการเรียกสติ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมากดปุ่มรับสาย ทำให้เสียงเพลงเรียกเข้าในจังหวะที่เร้าใจดับลงในทันที
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุกจากการหลับใหลกระแอมเบา ๆ ก่อนกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย
“ฮัลโหล...” เขากล่าวพลางยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นขยี้ศีรษะแรง ๆ ราวจะขับไล่ความง่วง
“แอนดี้... ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” เสียงจากปลายสายแว่วมา ทำให้ชายหนุ่มหันไปชำเลืองดูนาฬิกาปลุกที่อยู่ที่หัวเตียง ซึ่งบ่งบอกว่าเวลาย่างเข้าสิบโมงเช้าแล้ว
“อ๋อ... ตื่นแล้ว ๆ” แอนดี้ปดไปดื้อ ๆ พลางเบือนหน้าหนีจากโทรศัพท์เพื่อแอบหาว “พอดี... เก็บของอยู่เลยมารับสายช้าไปหน่อย”
“โอเค แล้วไป... นึกว่ายังนอนไม่ตื่น กลัวเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา”
“ขอบใจมาก เรย์ ที่อุตสาห์โทรมาปลุก... เฮ้ย โทรมาหา” แอนดี้รีบเปลี่ยนเรื่องแทบไม่ทัน เมื่อหลุดปากเผยความจริงออกไป ทำให้เพื่อนรักที่อยู่ปลายสายหัวเราะร่วน
“เดี๋ยวนายจะมารับเรากี่โมงนะ...” แอนดี้เปลี่ยนเรื่องในทันที
“เครื่องบินออกสองทุ่ม เราคงไปถึงบ้านนายประมาณห้าโมงกว่า ๆ นะ” เสียงคู่สนทนาตอบ
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุดจากภวังค์พยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่นายจะยังไม่กลับไปเมืองไทยกับเราแน่หรือ...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“อือ” เรย์ ตอบ “เรากะจะอยู่ที่ นิว ลอนดอน ต่ออีกสักพัก...”
“แต่สถานการณ์ที่นี่ มันไม่ค่อยดีแล้วนะ...” แอนดี้แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
“ก็จริง...” อีกฝ่ายรับคำอย่างเห็นพ้อง “แต่ก็อย่างว่า เรากลับไปเมืองไทยตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรอยู่ดี”
แอนดี้ถอนหายใจอย่างเห็นใจ และไม่รู้จะเอ่ยอะไรที่ดีไปกว่านั้น
“งั้นเดี๋ยวเจอกันตอนห้าโมงนะ...” เรย์ สรุป ก่อนที่จะวางสายไป
ทิ้งให้แอนดี้ หันมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเหนื่อยใจกับข้าวของที่ยังหลงเหลือให้เก็บ...
และใจหายที่จะต้องเดินทางกลับไปเมืองไทยอย่างถาวร หลังจากที่จากบ้านมาศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศนิว ลอนดอน ถึงสี่ปี


“ฮัลโหล...” แอนดี้ละมือจากการยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางอย่างลวก ๆ และกดปุ่มรับสาย
“แอนดี้จ๋า...” เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นจากปลายสายทันที
“มิเชล” ชายหนุ่มร้องทัก ก่อนที่จะยันตัวเองลุกขึ้นยืน และถือโอกาสพักจากการเก็บของและเดินไปหาอะไรทานดับกระหายเสียหน่อย
“แอนดี้จะกลับเมืองไทยแน่แล้วหรือ...” เสียงจากปลายสายออดอ้อน
“ใช่จ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางยื่นมือไปเปิดประตูตู้เย็น และคว้าน้ำส้มในกล่องกระดาษออกมาถือในมือ เขามองไปที่แก้วน้ำที่อยู่ในตู้ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะขี้เกียจล้างแก้วเมื่อใช้เสร็จ เขาจึงเอนคอหนีบโทรศัพท์มือถือไว้ระหว่างหูกับใหล่ และใช้มือบิดเกรียวเปิดฝาออก แล้วยกกล่องกระดาษขึ้นเทเครื่องดื่มลงคอ
“อย่างนี้ ฉันก็คิดถึงเธอแย่เลยสิ”
แอนดี้ อมยิ้ม และยกหลังมือขึ้นป้ายหยดน้ำส้มที่มุมปาก
“เธอก็มาหาฉันที่กรุงเทพสิ...” ชายหนุ่มหยอก
“หากฉันว่าง ฉันจะไปแน่ ๆ” มิเชลเอ่ยอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ และเดินออกไปจากบริเวณห้องครัว แต่ข้าวของที่วางระเกะระกะ ทำให้เขาสะดุดเล็กน้อย และทำให้น้ำส้มกระฉอกออกมาจากกล่อง หกลงไปเปอะเปื้อนบนพื้นห้องรับแขก
แอนดี้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา และกวาดสายตาหาอะไรที่พอจะซับน้ำส้มได้ แต่ก็ตัดสินใจลงเอยด้วยการคว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่กะจะใช้ห่อของกันกระแทก มาทำหน้าที่ผ้าซับน้ำแทน
“วันนี้ ไม่ให้ฉันไปส่งแน่เหรอ...” มิเชลถามอย่างออดอ้อนอีกครั้ง
“จ้า ก็เมื่อวันก่อนเราก็ทานข้าวด้วยกันแล้วนี่” แอนดี้บอก ก่อนที่จะรีบเสริมขึ้น “ฉันเกลียดการอำลาที่สุด และไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอ”
หญิงสาวที่ปลายสายหัวเราะเสียงใสอย่างถูกใจกับคำหวานของหนุ่มไทย
“ฉันคงคิดถึงเธอมาก ๆ เลย...” เธอบอก “ถ้างั้นไปถึงเมืองไทยแล้วส่งข่าวบอกฉันด้วยนะ”
“จ้า...” แอนดี้รับคำลากเสียงยาว “ฉันก็จะคิดถึงเธอเหมือนกัน”


“ฮัลโหล...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนกรอกเสียงลงในโทรศัพท์มือถือ
“สวัสดีจ๊ะ...” เสียงแว่วจากปลายสายดังขึ้นในทันที
“สเตฟ... เป็นไงบ้างเอ่ย ดีใจจังเลยที่เธอโทรมา” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงสนิทสนม และพูดคุยกับสาวชาวนิว ลอนดอนอย่างเป็นกันเองอีกพักใหญ่
“ให้ฉันไปส่งเธอไม่ได้เหรอ...” สเตฟานนี่ ถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ไม่ต้องลำบากหรอกจ๊ะ... และฉันก็ไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอด้วย” ชายหนุ่มยอดคำหวาน และได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเขินอายของอีกฝ่ายหนึ่งแว่วผ่านสายโทรศัพท์มา
“และอีกอย่างหนึ่ง เมืองไทยกับนิว ลอนดอน อยู่ใกล้กันแค่นี้ เดี๋ยวฉันก็จะกลับมาเยี่ยมเธออีก” แอนดี้เสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สัญญานะ...”
“สัญญาสิจ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางค่อย ๆ รูปซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบหรู ดีไซน์เก๋ ราคาแพง ซึ่งเป็นการยุติการเก็บของสำหรับเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น