ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์


-->
ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์" กลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนทำงานอย่างเราไม่ใช้ ไม่ได้แล้ว ดังนั้นควรรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องด้วย วันนี้เรามีเกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์ สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตาได้ จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
ส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ หลังปวด หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศาจัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมาก
อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีก
จะใช้คอมพิวเตอร์ครั้งต่อไปก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับวิธีทำแกงเขียวหวาน

ขึ้นชื่อว่า แกงเขียวหวาน แค่ได้ยินชื่อ ก็น้ำลายสอ ออกมารอออยู่ในปากแล้วค่ะ แกงไทย ตระกูลนี้แปลกแตกต่าง จากแกงกะทิ ชนิดอื่นๆ หลักๆเห็นจะเป็นสีของแกง ที่มีสีเขียว ตามสีของพริกที่ใช้ ทำพริกแกงค่ะ แต่คนไทยก็พลิกแพลง แกงเขียวหวานให้ทานได้ไม่จำเจ จากส่วนผสมหลักที่ใช้แกง อาทิเช่น แกงเขียวหวานไก่ (อันนี้แม่เขียวหวานชอบเป็นที่สุดค่า) แกงเขียวหวานหมู แกงเขียวหวานเนื้อ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ค่ะ วิธีทำแกงเขียวหวาน ให้อร่อย จุดหลักก็เหมือนกับ การทำแกงชนิดอื่นๆค่ะ น้ำพริกแกง สำคัญมากๆ ค่ะ ซึ่งแม่เขียวหวานเอง ทุกวันนี้ ไม่มีเวลามานั่งตำน้ำพริกแกงเอง แล้วล่ะค่ะ ใช้วิธีลองผิดลองถูกค่ะ ลองสลับซื้อ ของเจ้าโน้นที ของเจ้านี้ที ว่าเวลาเอามาแกงแล้ว ของยี่ห้อไหน น้ำพริกแม่อะไร อร่อยที่สุด ครั้งต่อไป แกงก็ซื้อเจ้าที่เราถูกปากที่สุดค่ะ สิ่งสำคัญถัดไป ก็คือกะทิค่ะ ถ้าทำได้อยากให้ใช้กะทิสด แบบว่าซื้อมะพร้าวขูดมาคั้นเอง โดยจะต้องซื้อมะพร้าวใหม่ๆ จริงๆ ขูดใหม่ๆ คั้นกันใหม่ๆ (อุ๊ย.. โดนค้อน...โอเคค่ะ เอาเคล็ดลับ แบบเหนื่อยน้อยหน่อย ไม่ต้องขูดมะพร้าว แบบมะหมี่ก็ได้) แต่ถ้ามันลำบากเหลือแสน ก็ใช้กะทิกล่องก็ได้ค่ะ เวลาแกง ไม่ว่าจะแกงเขียวหวาน หรือแกงไหนๆ ต้องผัดน้ำพริกแกงก่อนค่ะ เอาหัวกะทิ ลงไปเคี่ยวในกะทะให้ แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงไป ผัด ผัด แล้วก็ผัด พอส่วนผสมเริ่มแห้ง ก็เติมกะทิลงไปอีกพอแฉะ แล้วก็ผัด ผัด ผัด จนน้ำพริกแกงแตกมัน มีกลิ่นหอมค่ะ (ไม่แนะนำให้ผัดน้ำพริกแกง ในครัวปิดที่ไม่มีเครื่องดูดควัน นะคะ แบบว่าจามกันทั่วบ้านแน่ค่ะ) หางกะทิเวลาแกง เราไม่ควรใส่น้ำหางกะทิมากจนเกินไปคะ ใส่แต่พอทำให้แกง "ขลุกขลิก" แกงจะได้รสชาติเข้มข้นค่ะ

เมนูอาหารประจำตู้เย็น สำหรับคนลดความอ้วน

ถ้าเพื่อนๆ กำลังอยู่ระหว่าง แผนการ ลดน้ำหนัก (ที่ดูท่านับวัน จะทะลุทะลวง เพดานขึ้นไปทุกที) แล้วละก็ วันนี้แม่สาลิกา มีเมนูอาหาร หรือ รายการอาหารง่ายๆ ที่ควรรีบหา มาใส่ตู้เย็นไว้มาฝากค่ะ ลองมาสำรวจกันดูซิ ว่าในตู้กับข้าว หรือตู้เย็นของเพื่อนๆ มีรายการอาหารเหล่านี้ อยู่หรือยัง
เริ่มจาก สลัดผัก พร้อมหม่ำ เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่าย ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ในห่อ จะมีผักใบเขียว ประเภท ผักกาดแก้ว ผักโขม แครอท แต่ถ้าอยากประหยัด จะซื้อมาทำเตรียมไว้เอง ก็ไม่ผิดกติกานะคะ นอกจากนั้น ผักอื่นๆ อย่าง แตงกวา มะเขือเทศราชินี มีติดไว้ก็ดีค่ะ สลัดผักทานยังไงก็ไม่อ้วนค่ะ แต่ถ้ากลัวว่า ลำพังสลัดผัก จะสลัดความอยากอาหารไว้ไม่อยู่ สลัดผลไม้ ก็น่าสนใจไม่หยอกค่ะ เอาผลไม้หลากหลายชนิด มาปอกและหั่นเป็นชิ้นพอคำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่โถแก้ว หรือชามใสๆ ให้ดูน่ากิน น้ำซอสหรือน้ำสลัด ก็ให้ซื้อไว้แต่แบบ น้ำสลัดไขมันต่ำ ย้ำ ไขมันต่ำนะคะ ถ้าเราจัดผักผลไม้ไว้อย่างดี แต่คลุกเคล้า ด้วยสลัดครีมข้นหวานมัน ก็สงสัยจะหยุดพิกัดน้ำหนักเอาไว้ได้ยากล่ะคะ แต่ถ้าเกิดเบื่อๆ สลัดผักน้ำใส จะเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็น น้ำยำแบบไทยๆ ประเภทน้ำมะนาว ผสมเกลือพริกป่น ดูก็อร่อยได้แบบไม่อ้วนค่ะ
ต่อด้วย เนื้อสัตว์ โปรตีนสูง ไขมันต่ำ อย่าง อกไก่ย่าง เสต็คหมู กุ้งต้ม ทูน่ากระป๋อง เอาไว้ทานพร้อมสลัดผักยังไงล่ะ
นมโลว์แฟต ถึงจะลดน้ำหนัก แต่ร่างกายก็ต้องการโปรตีน และแคลเซียม อยู่นะคะ นมประเภทไขมัน 0% ทั้งหลาย ขาดไม่ได้นะคะ เดี๋ยวนี้มีให้เลือกดื่ม เยอะแยะค่ะ ยืนอยู่หน้าตู้แช่เย็น ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทีไร ตาลายทุกที หรือเพื่อนๆ จะเลือกเป็น นมเปรี้ยวไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ ก็ ได้นะคะ เพื่อไม่ให้ เมนูอาหาร เพื่อการลดน้ำหนัก ของเราน่าเบื่อจนเกินไป
ขนมปังโฮลวีต อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ขนมปังค่ะ ถ้าเพื่อนๆ บอกว่าการ ลดความอ้วน คือการงดแป้งทั้งหมด อยากจะขอบอกให้ลอง ทบทวนดูใหม่อีกทีค่ะ เพราะร่างกาย ยังต้องการสารอาหาร ประเภทพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต อยู่นะคะ ส่วนตัวแล้วแต่สาลิกา มองว่าหากบอกให้ทานข้าว 1 จานหรือ 1 ทัพพี ปริมาณการตัก ของแต่ละคนคงจะ ไม่เท่ากันเป็นแน่แท้ บางคนจานเล็ก บางคนอาจตัก จานใหญ่ยังกะจานเสต็ค บางคนตักข้าวทัพพีเล็ก บางคนตักข้าวทัพพีใหญ่ แถมตักซะพูนทัพพี อีกต่างหาก แต่ถ้าหาก บอกว่าทานขนมปัง 1 แผ่น บวกลบคูณหาร ต่างยี่ห้อ ก็คงน้ำหนักไม่ต่างกัน ซักเท่าไหร่ค่ะ ว่าแต่ทาน 1 แผ่น อย่าเผลอไปทาน 1 ห่อก็แล้วกัน อ้อ แล้วก็อย่าทานขนมปังตอนมื้อเย็นค่ะ เราควรทานขนมปัง ตอนมื้อเช้า เพื่อให้เป็นเหมือนการสตาร์ทเครื่องยนต์ เรากายมีพลังงาน เอาไปใช้เผาผลาญ ไขมันเก่าออกมาใช้ค่ะ
ด้วย เมนูอาหารเพื่อการ ลดหน้าหนัก อย่างง่ายๆ ตามที่แนะนำมานี้ แม่สาลิกา มั่นใจว่า จะสามารถ ดึงไขมันออกจากพุง ของเพื่อนๆ ได้อย่างแน่นอน สำคัญแต่ว่า จัดอาหารใส่ตู้เย็นไว้แล้ว ก็รับประทานอาหารที่มีในตู้ด้วยนะค้า ไม่ใช่จัดเมนูไว้อย่างสวยหรู พอถึงเวลาหิวมาก็หน้ามือ ก็เดินไปทานข้าวขาหมู ที่หน้าปากซอย (เหมือนใครก็ไม่รู้ หุ หุ) อันนี้อาจารย์สำนักไหน ก็คงช่วยท่าน ไม่ได้ล่ะเจ้าค่า

ความรัก แค่...ความผูกพัน

วันนี้ เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้... แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป สักวันเราจะรู้ว่า สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตวันหนึ่ง หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..ขาดไม่ได้ เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนักเวลา.. จะสอนเราเองว่า ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้นๆอย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง คิดเสียว่าเราโชคดีที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารักความผูกพันก็เหมือนกับความรัก หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่า ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเองไว้กับสิ่งนั้นๆ เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่งเปรียบเสมือน เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนมพออากาศร้อนหน่อย...เราอาจต้องการน้ำเย็นๆบางครั้งที่เราไม่สบาย...เราอาจต้องการน้ำอุ่นใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ...ต้องเติมสิ่งต่างๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสมหากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำแล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที ในแก้วใบเดียวกันแก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..เริ่มแตก ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา...ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่งนั้น..ไม่ผิด ถ้าเราค่อยๆปรับใจ..ปรับตัวของเราเอง..ให้กลับคืนในเวลาที่ควร เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาสได้ผูกพัน ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาสได้รักนั่นเองถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น... คือ ความรักถ้าคุณเศร้า..เหงา..คิดถึงเค้า..อยากเจอ..อยากพูดคุย... คือ ความรักถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ... คือ ความใคร่อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียวถ้าคุณเมามาย..เค้าลูบหลังไหล่..ดูแล... คือ ความรักที่บริสุทธิ์ใจถ้าคุณเมามาย..เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย... คือ ความใคร่จากเค้าของคุณถ้าคุณเข้าหา.. แต่เค้าหนี... ... คือ ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้วถ้าคุณหนี.. แต่เขาวิ่งตามมา... ... คือ ความรัก ที่ยังไม่มีจุดจบถ้าคุณร้องไห้ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ... คุณคือ คนโง่ และบ้า อย่างน่าอายแต่ถ้าคุณพอใจ..จงรัก..และมอบความรักให้กับเค้า... แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตามจงดีใจที่ได้รักซะวันนี้.. ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้าจงภูมิใจที่มีความใคร่.. เสน่หาเพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป...

ความรัก

ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม และความรัก ในมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
สำหรับใครที่ยัง........"โสด"
ความ รักนั้นมันก็เหมือนกับ"ผีเสื้อ"ยิ่งคุณวิ่งเข้าหามันเท่าไหร่ มันก็จะห่างคุณออกไปเท่านั้น แต่ถ้าคุณปล่อยมันไปมันจะเข้ามาหาคุณเองแหละ ถ้าคุณไม่คาดหวังกับมันมาก ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข แต่มันก็สามารถทำให้คุณเจ็บปวดได้บ่อยๆ เหมือนกัน แต่ความรักเป็นสิ่งที่พิเศษ ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคนที่เค้าดีที่สุดสำหรับคุณ ดังนั้นค่อยๆหาไปล่ะกันนะและเลือกคนที่ดีที่สุด สำหรับคุณ......
สำหรับใครที่....."ไม่โสด"
เค้า บอกว่า... ความรักไม่ได้มาจากคนที่สมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง แต่มันจะมาจากคนที่สามารถช่วยคุณให้เป็น คนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้.....
สำหรับใครที่เป็น......."เสือผู้หญิงหรือคนเจ้าชู้"
อย่า พูดคำว่า"รัก"เลยถ้าคุณไม่ได้กมายความถึงคำๆนั้นจริง อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเค้าเลย ถ้าคุณจะทำให้เค้าเสียใจ อย่าไปมองลึกถึงดวงตา ถ้าทุกคำพูดของคุณโกหกทั้งเพ มันไม่ยุติธรรมถ้าผู้ชายทำให้ผู้หญิงเขาหลงรัก แล้วไม่ใส่ใจใยดี ถ้าผู้หญิงต้องอกหักและในทางกลับกันของ ผู้หญิงก็เหมือนกัน......
สำหรับใครที่......."แต่งงานแล้ว"
ความ รักไม่ใช่..."มันเป็นความผิดของคุณ" แต่จะเป็นคำว่า "ฉันขอโทษ" มากกว่าที่จะบอกว่า "ไปอยู่ไหนมา" แต่จะเป็นคำว่า "ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ" มากกกว่าที่จะบอกว่า "คุณทำได้อย่างไร" ไม่ใช่คำที่พูดว่า... "ฉันอยากให้คุณอยู่ตรงนี้" แต่จะเป็นคำว่า....." ขอบคุณนะที่เธออยู่ตรงนี้กับฉัน"
สำหรับใครที่......"หมั้นหมายกันอยู่"
สิ่ง ที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่า การอยู่ด้วยกันเป็นปีๆ แล้วไม่ได้ทะเลาะกัน แต่จะอยู่ที่ว่า ความดีที่คุณทั้งสอง มีต่อกันมากกว่า......
สำหรับใครที่......"อกหัก"
การอก หักมันยาวนานพอๆ กับที่คุณต้องการให้มันอยู่กับคุณหรือ อยากจะตัดใจให้ออกไปจากใจของคุณ สิ่งที่สำคัญก็คือว่า มันไม่ใช่จะต้องอยู่กับการอกหัก แต่มันอยู่ที่ว่า....เราเรียนรู้จากมันได้แค่ไหน ต่างหาก......
สำหรับใครๆที่...."ยังไม่เคยรัก"
จะ รักได้อย่างไร:.... อย่ารักแบบหัวปักหัวปำเป็นตัวของตัวเองบ้าง แต่อยากให้เห็นแก่ตัวเองทั้งหมด รู้จักแบ่งปันและอย่าเอาเปรียบ พยายามเข้าใจกันและกันมากกว่าที่จะบอกว่า ตัวเองต้องการอะไร ถึงจะเจ็บก็เจ็บ แต่อย่าเอาความเจ็บนั้น ติดตัวเสมอไป สำหรับใครที่......"มีคนหลงรักอยู่" เค้าบอกว่า...มันเจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารัก ไปมีความรักกับคนอื่น แต่มันจะเจ็บปวดยิ่งกว่าถ้าคนที่เรารัก ไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับคุณ
สำหรับใครที่......"กลัวต่อการสารภาพ(รัก)"
ความ รักมันเจ็บปวด ถ้าคุณต้องไปบอกเลิกกับใครสักคน แต่มันจะเจ็บยิ่งกว่าถ้ามีคนมาบอกเลิกกับคุณ แต่มันจะเจ็บสุดๆ ถ้าคนที่คุณรัก เค้าไม่รู้เลยว่า คุณรักเค้าแค่ไหน?
สำหรับใครๆที่ยัง......."คบๆกันอยู่"
เค้า บอกว่า..สิ่งที่เสียใจในชีวิตก็คือ การที่เราพบใครสักคนที่เรารัก และคบกันไปจนถึงวันสิ้นสุด ความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง..... คุณเสียเวลาไปเป็นปีๆ ให้กับคนที่คนที่เค้ายังไม่ใช่คนๆนั้นสำหรับคุณ แต่ถ้าเค้าคนนั้นของคุณ ไม่ใช่คนที่ใช่เลยแล้วล่ะก็ คุณจะมาเสียเวลาเป็นปีๆให้เค้าทำไม... สู้เลิกกันเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า.....
สำหรับเพื่อนๆทุกๆคน.......
เค้า บอกว่า.... ฉันปรารถนาให้ทุกๆคนที่มีความรัก จงซื่อสัตย์เข้มแข็ง อย่าอ่อนไหวอย่าโลเล อย่าเห็นแก่ตัว ให้ความรักของคุณเจริญเติบโตมากขึ้นๆ ให้ความฝันความหวังและ ให้รางวัลชีวิตแด่กันและกัน

เรื่องราวของหนุ่มเพลย์บอย ที่จับพลัดจับผลูมาทำงานในร้านฟาสต์ฟู๊ดส์ เพื่อจีบหญิงสาวในดวงใจ

แสงแดดยามเช้าทะแยงผ่านผ้าม่านเข้ามาแทงตาของชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้า เปลือยอกเผยกล้ามเนื้อสมส่วนในแบบฉบับของนักกีฬาและผิวขาวที่บ่งบอกถึงการเป็นคนไทยเชื้อสายจีน หลับใหลอยู่บนเตียง ในห้องนอนแคบ ๆ ที่พื้นห้องรกไปด้วยกองเสื้อผ้า และเกลื่อนไปด้วยเศษซองขนมขบเคี้ยวและกระดาษห่อขนมรวมถึงขวดเบียร์ที่กระจัดกระจายอยู่ปลายเตียง
แต่มันก็ไม่ได้รบกวนการนอนหลับของเขาเท่ากับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ที่ดังอย่างไม่ลดละจนชายหนุ่มต้องงัวเงียโงหัวขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ และใช้เวลาครู่หนึ่งในการเรียกสติ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมากดปุ่มรับสาย ทำให้เสียงเพลงเรียกเข้าในจังหวะที่เร้าใจดับลงในทันที
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุกจากการหลับใหลกระแอมเบา ๆ ก่อนกรอกเสียงลงไปในเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย
“ฮัลโหล...” เขากล่าวพลางยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นขยี้ศีรษะแรง ๆ ราวจะขับไล่ความง่วง
“แอนดี้... ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” เสียงจากปลายสายแว่วมา ทำให้ชายหนุ่มหันไปชำเลืองดูนาฬิกาปลุกที่อยู่ที่หัวเตียง ซึ่งบ่งบอกว่าเวลาย่างเข้าสิบโมงเช้าแล้ว
“อ๋อ... ตื่นแล้ว ๆ” แอนดี้ปดไปดื้อ ๆ พลางเบือนหน้าหนีจากโทรศัพท์เพื่อแอบหาว “พอดี... เก็บของอยู่เลยมารับสายช้าไปหน่อย”
“โอเค แล้วไป... นึกว่ายังนอนไม่ตื่น กลัวเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา”
“ขอบใจมาก เรย์ ที่อุตสาห์โทรมาปลุก... เฮ้ย โทรมาหา” แอนดี้รีบเปลี่ยนเรื่องแทบไม่ทัน เมื่อหลุดปากเผยความจริงออกไป ทำให้เพื่อนรักที่อยู่ปลายสายหัวเราะร่วน
“เดี๋ยวนายจะมารับเรากี่โมงนะ...” แอนดี้เปลี่ยนเรื่องในทันที
“เครื่องบินออกสองทุ่ม เราคงไปถึงบ้านนายประมาณห้าโมงกว่า ๆ นะ” เสียงคู่สนทนาตอบ
ชายหนุ่มผู้ถูกปลุดจากภวังค์พยักหน้ารับรู้
“ว่าแต่นายจะยังไม่กลับไปเมืองไทยกับเราแน่หรือ...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“อือ” เรย์ ตอบ “เรากะจะอยู่ที่ นิว ลอนดอน ต่ออีกสักพัก...”
“แต่สถานการณ์ที่นี่ มันไม่ค่อยดีแล้วนะ...” แอนดี้แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
“ก็จริง...” อีกฝ่ายรับคำอย่างเห็นพ้อง “แต่ก็อย่างว่า เรากลับไปเมืองไทยตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรอยู่ดี”
แอนดี้ถอนหายใจอย่างเห็นใจ และไม่รู้จะเอ่ยอะไรที่ดีไปกว่านั้น
“งั้นเดี๋ยวเจอกันตอนห้าโมงนะ...” เรย์ สรุป ก่อนที่จะวางสายไป
ทิ้งให้แอนดี้ หันมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเหนื่อยใจกับข้าวของที่ยังหลงเหลือให้เก็บ...
และใจหายที่จะต้องเดินทางกลับไปเมืองไทยอย่างถาวร หลังจากที่จากบ้านมาศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศนิว ลอนดอน ถึงสี่ปี


“ฮัลโหล...” แอนดี้ละมือจากการยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางอย่างลวก ๆ และกดปุ่มรับสาย
“แอนดี้จ๋า...” เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นจากปลายสายทันที
“มิเชล” ชายหนุ่มร้องทัก ก่อนที่จะยันตัวเองลุกขึ้นยืน และถือโอกาสพักจากการเก็บของและเดินไปหาอะไรทานดับกระหายเสียหน่อย
“แอนดี้จะกลับเมืองไทยแน่แล้วหรือ...” เสียงจากปลายสายออดอ้อน
“ใช่จ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางยื่นมือไปเปิดประตูตู้เย็น และคว้าน้ำส้มในกล่องกระดาษออกมาถือในมือ เขามองไปที่แก้วน้ำที่อยู่ในตู้ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะขี้เกียจล้างแก้วเมื่อใช้เสร็จ เขาจึงเอนคอหนีบโทรศัพท์มือถือไว้ระหว่างหูกับใหล่ และใช้มือบิดเกรียวเปิดฝาออก แล้วยกกล่องกระดาษขึ้นเทเครื่องดื่มลงคอ
“อย่างนี้ ฉันก็คิดถึงเธอแย่เลยสิ”
แอนดี้ อมยิ้ม และยกหลังมือขึ้นป้ายหยดน้ำส้มที่มุมปาก
“เธอก็มาหาฉันที่กรุงเทพสิ...” ชายหนุ่มหยอก
“หากฉันว่าง ฉันจะไปแน่ ๆ” มิเชลเอ่ยอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ และเดินออกไปจากบริเวณห้องครัว แต่ข้าวของที่วางระเกะระกะ ทำให้เขาสะดุดเล็กน้อย และทำให้น้ำส้มกระฉอกออกมาจากกล่อง หกลงไปเปอะเปื้อนบนพื้นห้องรับแขก
แอนดี้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา และกวาดสายตาหาอะไรที่พอจะซับน้ำส้มได้ แต่ก็ตัดสินใจลงเอยด้วยการคว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่กะจะใช้ห่อของกันกระแทก มาทำหน้าที่ผ้าซับน้ำแทน
“วันนี้ ไม่ให้ฉันไปส่งแน่เหรอ...” มิเชลถามอย่างออดอ้อนอีกครั้ง
“จ้า ก็เมื่อวันก่อนเราก็ทานข้าวด้วยกันแล้วนี่” แอนดี้บอก ก่อนที่จะรีบเสริมขึ้น “ฉันเกลียดการอำลาที่สุด และไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอ”
หญิงสาวที่ปลายสายหัวเราะเสียงใสอย่างถูกใจกับคำหวานของหนุ่มไทย
“ฉันคงคิดถึงเธอมาก ๆ เลย...” เธอบอก “ถ้างั้นไปถึงเมืองไทยแล้วส่งข่าวบอกฉันด้วยนะ”
“จ้า...” แอนดี้รับคำลากเสียงยาว “ฉันก็จะคิดถึงเธอเหมือนกัน”


“ฮัลโหล...” หนุ่มไทยเชื้อสายจีนกรอกเสียงลงในโทรศัพท์มือถือ
“สวัสดีจ๊ะ...” เสียงแว่วจากปลายสายดังขึ้นในทันที
“สเตฟ... เป็นไงบ้างเอ่ย ดีใจจังเลยที่เธอโทรมา” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงสนิทสนม และพูดคุยกับสาวชาวนิว ลอนดอนอย่างเป็นกันเองอีกพักใหญ่
“ให้ฉันไปส่งเธอไม่ได้เหรอ...” สเตฟานนี่ ถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ไม่ต้องลำบากหรอกจ๊ะ... และฉันก็ไม่อยากให้เธอเห็นฉันต้องร้องไห้ด้วยความร้าวรานใจที่จะต้องบอกลากับเธอด้วย” ชายหนุ่มยอดคำหวาน และได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเขินอายของอีกฝ่ายหนึ่งแว่วผ่านสายโทรศัพท์มา
“และอีกอย่างหนึ่ง เมืองไทยกับนิว ลอนดอน อยู่ใกล้กันแค่นี้ เดี๋ยวฉันก็จะกลับมาเยี่ยมเธออีก” แอนดี้เสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สัญญานะ...”
“สัญญาสิจ๊ะ” ชายหนุ่มรับคำ พลางค่อย ๆ รูปซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบหรู ดีไซน์เก๋ ราคาแพง ซึ่งเป็นการยุติการเก็บของสำหรับเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที

วิวาห์ซ่อนเล่ห์

ขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่ส่งสาวน้อยผู้ซื่อสัตย์ลงมาในภาวะคับขัน อดิเรกพร่ำลิงโลดในใจ ตอนเห็นเช็คเงินสดฉบับนั้นอยู่ในมือของเธอ หลังจากรอจนบริกรในร้านเครื่องดื่มผละไป เขาจึงค่อยเริ่มเอ่ยกับหญิงสาวว่า
"ต้องขอบคุณที่โลกของเรายังเหลือคนดีมีความซื่อสัตย์ให้เราได้พึ่งพาอาศัยนะครับ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณน้องมากทีเดียว ไม่งั้นพี่คงไม่แค่โดนไล่ออก แต่อาจโดนฟ้องร้องข้อหาทุจริตเงินบริษัท หลายล้านขนาดนี้ ติดคุกหัวโตเชียวครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ น้องก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเอาเงินจำนวนมากมายไปทำอะไร"
"หมายความว่ายังไงครับ"
"ไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะ น้องพูดไปเรื่อยเปื่อย"
อดิเรกมองอากัปกิริยาเฉื่อยชาของฝ่ายตรงข้ามด้วยความแปลกใจ ตาใสไม่ค่อยเปล่งประกายสดใสเท่าที่ควร เธอเหม่อมองถนนนอกกระจก นานทีจึงจะกะพริบตาเนือยๆ ริมฝีปากสีเรื่อตามธรรมชาติมักจะเม้มราวกับตัดสินใจกระทำบางอย่าง
"หมดธุระแล้ว น้องขอตัวลากลับก่อนนะคะ"
"เอ้อ.. อย่าหาว่าพี่.. "
"ไม่เป็นไรค่ะ"
เธอสั่นหน้าคลี่ยิ้มไม่แช่มชื่น มือข้างหนึ่งยื่นมาสะกดกิริยาหยิบยื่นน้ำใจเล็กน้อย อดิเรกก็ใช่ว่าจะมีเงินทองเหลือเฟือ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความซื่อสัตย์ เขาคิดว่าควรจะตอบแทนความดีบ้าง ทว่า.. เธอกลับปฏิเสธ แล้วกล่าวว่า
"เมื่อกี้นี้ น้องก็บอกไปแล้ว น้องไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินอีกแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ"
"ทำไมครับ.. น้องพูดเหมือนกับว่า เอ้อ.. "
อดิเรกยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เขาไม่ควรคิดในแง่ร้ายเกินไป แต่แววตาว่างเปล่าและใบหน้าเย็นชาของเธอ ก็อดที่จะทำให้คิดไม่ได้ว่า เธอกำลังเตรียมการลาโลก ดังนั้น เงินจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
"น้องลานะคะ"
"เอ้อ.. ครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ เอ้อ.. เดี๋ยว.. เรายังไม่รู้จักกันเลย พี่ชื่ออดิเรก"
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ น้องก็ชื่อน้องนี่แหละค่ะ ลานะคะ"
อดิเรกบอกตัวเองว่าไม่สบายใจกับเสียงอ้างว้างยามกล่าวคำอำลาของหญิงสาว ราวกับเธอล่ำลาเพื่อจากไปไกลแสนไกล และอาจไม่ได้พบหน้ากันอีก
เขาคงคิดมากไปกระมัง.. มืออวบอูมเก็บเช็คมาจ้องมองจำนวนเงินหลักล้านอย่างโล่งอกอีกครั้ง ก่อนจะพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ไม่กล้าใส่กระเป๋ากางเกงอีกแล้วล่ะ ตอนออกจากธนาคาร เขารู้สึกร้อนอบอ้าว จึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง ซึ่งคงเป็นตอนนั้นล่ะ ที่เช็คหล่นหาย กว่าจะรู้ตัวก็ตอนล้วงหยิบกุญแจรถอีกที ใจหายใจคว่ำไปเลย
"น้องเก็บเงินเลยครับ เอ้อ.. ที่เหลือนี่ไม่ต้องทอนนะน้อง"
อดิเรกยิ้มใจดีกับบริกรหนุ่ม เขารู้สึกแปลกใจกับแววตาของลูกค้าหลายคนที่นั่งโต๊ะถัดไป ก่อนจะรู้สึกตระหนกกับเสียงกรีดร้องของลูกค้าผู้หญิง ถัดจากนั้น ลูกค้าก็ลุกวิ่งกรูไปยังประตูทางออกของร้าน คุณพระช่วย.. นั่นคือหญิงสาวที่เพิ่งผละจากเขาไปเมื่อครู่นี้เอง เธอทำอะไร เดินทื่อไปกลางถนนราวกับต้องมนตร์สะกด
อดิเรกรีบผลุงออกจากร้าน แล้วซอยเท้าตรงไปยังร่างที่ล้มระทวย เฉียดฉิวตรงช่วงขาก็คือรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง มันหยุดกึกแต่ก็ยังทันได้เห็นลักษณะกระชากกระชั้น เสียงเบรกซึ่งเสียดสีกับผิวถนนดังอย่างหวาดเสียว เจ้าของรถรีบวิ่งลงมาหน้าตาตื่น
"เอ้อ.. ไม่.. ไม่ได้รับอันตรายใช่ไหมครับ ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าคุณผู้หญิงจะเดินทื่อมาอย่างนั้น"
"ไม่เป็นไรครับ เธอคงเอ้อ.. " อดิเรกไม่ทราบเหมือนกันว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง "ผมต้องขอโทษคุณแทนน้องสาวคนนี้ด้วย เธอเอ้อ.. ไม่ค่อยสบาย"
"ครับ ต้องการให้ผมช่วยอะไรไหม" คนขับรถก็แสนใจดี
"เอ้อ.. ไม่เป็นไร ผมช่วยเธอเอง เรา.. รู้จักกัน"
อดิเรกส่งยิ้มไม่ค่อยเต็มที่ เขาเพิ่งรู้จักเธอในร้านเครื่องดื่มไม่ถึงสิบนาทีนี้เอง เขารีบประคองร่างเย็นให้ลุกกลับเข้ามาในร้านเครื่องดื่ม ลูกค้าหลายคนมองตามอย่างใคร่รู้ ทุกคนทยอยกลับไปนั่งโต๊ะของตัวเอง บริกรรีบเสิร์ฟน้ำเย็นอย่างใจดี แต่หญิงสาวส่ายหน้า น้ำตาไหลเงียบงัน
"ทำไมน้องทำอย่างนั้น" อดิเรกถามเบาๆ เขามั่นใจแล้วว่าเธอต้องการลาจากโลกใบนี้จริงๆ
"น้อง.. " เธอกล่าวได้คำเดียว แล้วหยุดกลืนน้ำลาย เธอซับน้ำตาสายบางด้วยหลังมือ แล้วทอดตามองกลับไปยังถนนอีกครั้ง "น้องไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในโลกนี้อีกแล้วค่ะ"
"อะไรกัน" อดิเรกฟังไม่เชื่อหู "คนเราอยู่ในโลกนี้ด้วยความจำเป็นหรือครับ มีปัญหาอะไรใหญ่หลวงจนแก้ไม่ได้ เราแก้เองไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องของเรา ญาติมิตรของเรา หันหน้าไปพึ่งพาก็ได้นี่"
"น้องไม่มีใครแล้วค่ะ ทุกคนจากน้องไปหมดแล้ว"
"อะไรนะ" อดิเรกถามซ้ำ ไม่เชื่อหูอีกหน "จะเป็นไปได้ยังไงครับที่เราจะ.. "
"น้องถูกขายให้กับนายทุนที่ดินคนหนึ่ง เขากว้านซื้อผู้หญิงในละแวกใกล้เคียงไว้หมด เงินมันมากเสียจนพี่ทุกคนตาโต ตัดใจขายน้องสาวคนนี้"
"แต่ก็ไม่ถึงกับต้องคิดสั้นนี่ครับ น้องยังมีพ่อแม่"
"ไม่มีหรอกค่ะ" สาวน้อยส่ายหน้า สูดจมูกสะอื้น แล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเครือว่า "พ่อแม่น้องตายไปหลายปีแล้ว น้องอาศัยญาติผู้พี่เรียนหนังสือ แต่คง.. ไม่ต้องแล้ว"
"เอ้อ.. " อดิเรกถูกความเศร้าและสิ้นหวังของเธอกดดัน เขาอึดอัดและหายใจไม่ค่อยออก "ปัญหาทุกปัญหา ต้องมีทางออกของมันนะครับ พี่ว่า.. "
"ก็นี่ไงคะทางออกที่ดีและเหมาะสมสำหรับน้องที่สุดแล้ว" เธอจึงย้อนกลับมา น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมายืนยันความคับแค้น "น้องตายเสียดีกว่าที่จะยอมตกเป็นนางบำเรอของนายทุนคนนั้น เท่าที่รู้มา นางบำเรอที่เขาเบื่อแล้วจะถูกส่งไปขายต่อตามซ่องโสเภณีทั่วประเทศ"
"เอ้อ.. "
"ชีวิตแบบนั้นมันต่างอะไรกับตาย"
ก็ใช่เหมือนกัน อดิเรกเห็นด้วยกับเสียงปรารภหดหู่ เธอคงเดินเข้าสู่ทางตันแล้วจริงๆ หาไม่แล้วคงไม่ตัดใจปลิดชีพตัวเองอย่างบ้าบิ่น เขาพอจะมีหนทางที่ดีกว่าช่วยหญิงสาวผู้นี้ได้บ้างไหม อดิเรกเร่งคิดเป็นการใหญ่ หากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่นี่รู้ทั้งรู้ เขาคงไม่กล้าปล่อยเธอไว้ตามลำพังอีก ดูจากสีหน้าจริงจังแล้ว เธอยังมุ่งมั่นต่อการจากลาไปจากโลกที่เธอคิดว่าไม่มีใครอีกแล้ว
"เอาอย่างนี้นะครับ เราค่อยๆ คิดหาทางแก้ปัญหากันไป อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจหุนหันแบบเมื่อกี้นี้เลย เอ้อ.. ถ้าน้องพอจะไว้ใจพี่ ก็ไปกับพี่เถอะ"
อดิเรกตัดสินใจกล่าวออกไป เขาพยักหน้ายืนยันใส่ดวงตาแดงก่ำที่มองมาอย่างลังเลกึ่งคลางแคลง รอยยิ้มของเขาจริงใจไม่มากพอกระมัง
"น้องครับ ในโลกใบนี้ยังมีที่ว่างมากมายสำหรับคนดี น้องเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แล้วพี่เองก็อยากจะบอกว่าพี่ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ ที่จ้องซ้ำเติมความเจ็บปวดของใคร"
"น้อง.. "
"กับความตายน้องยังไม่กลัวไม่ใช่หรือ ก็ไม่จำเป็นอะไรต้องกลัวอีกแล้วนี่ เดินหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ตาย ทำไมไม่ลองเสี่ยงกับทางที่คนอื่นเลือกให้เดิน ไม่แน่ว่าบนทางสายนั้นอาจมีสิ่งดีๆ รอต้อนรับอยู่ก็ได้"
ขอบคุณสวรรค์ที่ประโยคเกลี้ยกล่อมของเขาได้ผล อดิเรกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางกลั้วน้ำตา เอาล่ะ คงต้องไปกันเสียที แหม.. สายตาลูกค้าในร้ายกำลังทำให้เขาฝันไปว่าตนเป็นพระเอกอันดับหนึ่งของเมืองไทยไปแล้ว จ้องกันจริงๆ


เมื่อออกจากร้านเครื่องดื่มแห่งนั้น อดิเรกพาเธอกลับมายังบ้านพัก ซึ่งก็เป็นบ้านพักพนักงาน และอยู่ไม่ห่างจากบริษัทมากนัก ภายในบ้านพักหลังใหญ่ถูกล้อมด้วยสวนสีเขียว สนามหญ้าด้านหน้ากว้างขวาง ตรงกลางประดับด้วยสระน้ำ ลอยละมุนด้วยบัวสีต่างๆ บริเวณด้านหลังยังมีซุ้มศาลาไว้นั่งพักผ่อนยามบ่ายหรือยามเย็น ตอนมาถึงก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว พนักงานบางคนเพิ่งจะกลับมาเหมือนกัน
"นี่เพื่อนที่ทำงานนะ ชื่อทรงวาด เรียกพี่วาดก็ได้นะ ใจดีและทำกับข้าวอร่อยมาก"
เขาแนะนำให้หญิงสาวรู้จัก พร้อมกับหาจังหวะสบตากับทรงวาดแวบหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ไม่เข้าใจว่าเพื่อนสบตาทำไม แต่นัยที่แฝงมาก็ทำให้ทราบว่าไม่ใช่เรื่องปกติ หล่อนจึงแค่รับไหว้สาวน้อย แล้วชวนเข้าข้างใน
"ตามสบายนะ ยังมีห้องว่างอีกสองสามห้อง พนักงานที่นี่ตอนมาใหม่ๆ ก็พักที่นี่แหละ พอคุ้นเคยสถานที่ หรือมีเพื่อนมากขึ้น ก็มักจะชักชวนกันออกไปเช่าบ้านอยู่กันเอง"
"น้องมาอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต พี่ๆ จะไม่โดนเจ้านายตำหนิหรือคะ"
"ไม่เป็นไรหรอก" อดิเรกรีบเป็นฝ่ายบอก "เจ้านายพี่เขาใจดี ไม่มาหยุมหยิมกับเรื่องพวกนี้หรอก อีกอย่าง บ้านหลังนี้เจ้านายไว้ใจยกให้พี่เป็นคนดูแลเอง น้องก็.. พักให้สบายใจ"
หญิงสาวก้มหน้า แววตาสลดลง เธอยิ้มแทนคำขอบคุณที่ทรงวาดยื่นแก้วน้ำดื่มมาให้ เธอไม่เห็นผู้ใหญ่แอบสบตากันอีกแวบ แต่เธอได้ยินอดิเรกกล่าวย้ำว่า
"พี่ขอร้องนะ อย่าคิดทำร้ายตัวเองอีก หากน้องคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้ว ตอนนี้ก็ขอให้รู้ว่าน้องได้พบเพื่อนใหม่ชื่ออดิเรกกับทรงวาด อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเราสองคนไม่เหมาะจะเป็นเพื่อน อยากให้ใช้เวลาไตร่ตรองต่อไปนานๆ "
หญิงสาวอมยิ้ม ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หมายความตามที่พูดกลั้วยิ้มทะเล้นอย่างนั้น เขาไม่ต้องการให้เธอคิดสั้น ไม่ต้องการเห็นเธอจากโลกนี้ไปเร็วนัก
"พี่จะออกไปซื้อของหน้าปากซอย อยากได้อะไรบ้างไหม" ทรงวาดถามอย่างใจดี
อดิเรกทราบว่าเธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ทายว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเสียด้วยซ้ำ แล้วเธอก็ไม่ต้องการอีกแล้วด้วย
"เอ้อ.. แกเป็นผู้หญิง ก็ไปคิดเอาเองว่าต้องซื้ออะไรมาให้เด็กมันบ้าง รีบไปรีบกลับล่ะ ฉันมีงานจะปรึกษาด้วย เจ้านายเร่งมา"
"เออ เก่งแต่สั่งล่ะ"
อดิเรกหัวเราะ เขาหันมาพยักพเยิดให้หญิงสาวลุกตามไปห้องพัก บอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยไว้ใจให้เธออยู่ตามลำพัง แม้แต่ประตูบานนี้ เมื่อเปิดแล้วก็ไม่ค่อยเต็มใจปิดนัก เพราะคะเนไม่ได้ว่าเธอจะห้าวหาญอะไรขึ้นมาอีก
"น้องครับ พี่ขอร้องนะ"
"ค่ะ น้องสัญญาว่าจะไม่คิดสั้นอีก พี่มีน้ำใจกับน้องมากขนาดนี้ น้องจะก่อเรื่องให้พี่เดือดร้อนได้ยังไง เอาเป็นว่า น้องจะช่วยพี่ดูแลบ้านพักหลังนี้ทั้งหลังก็แล้วกันนะคะ"
"ดูแล" อดิเรกเลิกคิ้ว "ดูแลยังไง"
"ดูแลให้มันเรียบร้อย ทำความสะอาดทั้งภายในทั้งภายนอก ทำกับข้าวเช้าเที่ยงเย็น ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน รดน้ำต้นไม้"
อ้อ เอาสิ แบบนั้นก็เข้าท่า เธอไม่ว่าง สมองก็ไม่ว่างไปด้วย เขาเห็นด้วย แต่ให้ทำโดยไม่มีค่าแรงก็ไม่ดี เขาจึงบอกว่า
"เอาอย่างนี้ พี่จะลองขออนุญาตเจ้านายรับน้องไว้เป็นแม่บ้านประจำบ้านพัก น้องจะได้มีเงินเดือนไว้ใช้สอย"
"ไม่เป็นไรค่ะ น้อง.. "
"ไม่เป็นไรไม่ได้ น้องจะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีเงินไว้ใช้สอยเลย พี่เข้าใจว่าเงินไม่สลักสำคัญกับน้องอีกแล้ว แต่นั่นหมายถึงหลังจากที่น้องตายจากโลกนี้ไปแล้วต่างหาก เวลานี้ น้องยังมีลมหายใจ หัวใจยังเต้น เงินจึงกลับมามีความจำเป็นตามอัตภาพ"
หญิงสาวกราบลงบนอกของหนุ่มน้ำใจงาม เธอตื้นตันต่อมิตรภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบหลังจากสิ้นหวังต่อการมีชีวิต เธอรอดพ้นจากความตายคราแรก เพียงเพราะเห็นว่าเช็คใบนั้นร่วงลงจากกระเป๋ากางเกง แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่รับรู้ แล้วเมื่อเห็นจำนวนเงินในเช็ค เธอก็ตระหนักว่า หากเขาทราบภายหลังว่ามันสูญหาย เขาต้องเดือดร้อนยกใหญ่ เธอจึงคิดแค่ว่าก่อนตาย ขอทำความดีเป็นครั้งสุดท้ายแก่เพื่อนร่วมโลกเถอะ
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผลจากการทำความดีก่อนตาย จะน้อมนำให้เธอได้พบกับเพื่อนใหม่ ลมหายใจที่สูดได้เต็มปอดภายในบ้านพักหลังใหญ่ หัวใจเต้นได้สม่ำเสมอและคลายความกดดันจากทุกข์มหันต์ตลอดสองเดือนที่ผ่านไป
"อาบน้ำเถอะ แล้วพักผ่อนให้สบาย ยังไม่ต้องเริ่มงานวันนี้หรอกนะ เดี๋ยวพอพี่วาดทำกับข้าวเสร็จ พี่จะขึ้นมาเรียก"
"เดี๋ยวน้องอาบน้ำเสร็จแล้ว จะลงไปช่วยพี่วาดในครัวดีกว่าค่ะ"
"เอาอย่างนั้นก็ได้"
อดิเรกบอกยิ้มๆ ก่อนจะกลับลงมาพร้อมกับถอนใจพรู ทรงวาดย้อนกลับมาได้รวดเร็ว อ้างว่าลืมกระเป๋าเงิน
"ฉันถามหน่อย แกไปเก็บน้องคนนี้มาจากไหน"
"กลางถนนเลย กำลังฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย ฉันล่ะขอบใจเบรกรถคันนั้นจริงๆ ทำงานได้เยี่ยมเลย"
ทรงวาดตาโต รีบนั่งแล้วฉุดเพื่อนนั่งด้วย ท่าทางบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าต้องรีบเล่าเลยนะ เพราะใคร่รู้อย่างแรง เป็นสาวเป็นแส้ทำไมคิดสั้น
"โถ.. " ครั้นพอได้ฟังเรื่องราวโดยละเอียดแล้ว เจ้าตัวก็ครางเวทนา "อายุยังน้อย ทำไมมาเจอเรื่องบีบคั้นหัวใจรุนแรงแบบนั้น ญาติก็ห่วยชะมัด ขายได้แม้กระทั่งน้องนุ่ง เงินทองที่ได้ไป ใช้ได้หมดทั้งชาติรึก็เปล่า แต่น้องสาวกลับต้องมาตายทั้งเป็น เลือดเย็นจริงๆ เลย"
"อืม แกรีบไปซื้อของ เดี๋ยวน้องจะลงมาช่วยทำกับข้าว" อดิเรกเร่งเพื่อนสนิท ก่อนจะบอกเชิงหารือว่า "พรุ่งนี้ฉันกะจะลองขออนุญาตคุณบี รับน้องไว้เป็นแม่บ้าน ไม่รู้ว่า.. "
"คุณบีไม่น่ามีปัญหา คุณเก๋ต่างหาก อาจเรื่องมาก"
ทรงวาดคาดเดาแล้วยักไหล่ น้ำเสียงที่พาดพิงถึงเจ้านายทั้งสองเหลื่อมล้ำกันทางความรู้สึก หล่อนภักดีต่อเจ้านายหนุ่ม เขาเป็นพี่ชายของเจ้านายสาว ผู้เจ้ายศเจ้าอย่าง และเอาแต่ใจวายร้าย หล่อนจึงให้ได้แค่ความเอือมระอา
"ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะหาจังหวะพูดตอนคุณเก๋ไม่อยู่ไง"
อดิเรกจึงบอกกลั้วหัวเราะให้เพื่อนสาวหัวเราะด้วย ก่อนจะแยกตัวไปซื้อของอีกครั้ง มานิตย์กลับเข้ามาพร้อมกับหอบข้าวของพะรุงพะรังมาด้วย อดิเรกตั้งใจจะขึ้นไปอาบน้ำ ก็เลยต้องเปลี่ยนใจ ช่วยรับของจากเพื่อน แล้วนั่งลงคุยอีก
"จะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วล่ะ" เพื่อนบอกพร้อมกับถอนใจเหนื่อยๆ แล้วตามด้วยบ่น "นี่ถ้าไม่ติดว่าเคยไปอาศัยบ้านคุณป้าตอนเรียนอยู่ที่โน่นละก็ จ้างให้ฉันก็ไม่ไปหรอก ไม่ชอบหน้าเจ้าน้องเขยนั่นเลย"
"อืม แกจะบ่นทำไม แกไม่ได้แต่งเองสักหน่อย น้องสาวแกต่างหาก แล้วเธอก็เลือกของเธอแล้ว แกมีหน้าที่ทำตัวเป็นพี่ชายที่ดี หอบข้าวของพวกนี้ไปทำให้เธอชื่นใจ"
"ก็ฉันไม่ชอบหน้านายสามารถนั่นนี่หว่า ทำเก๊กหล่อ หัวสูงราวกับพ่อแม่เป็นชาววัง ที่แท้ก็เจ้าของห้างทองไม่กี่แห่งเอง"
อดิเรกหัวเราะ เพื่อนพูดออกมาได้ยังไงว่าไม่กี่แห่งเอง แบบนั้นล่ะที่เขาเรียกว่าร่ำรวย อคติล่ะสิ เลยมองไม่เห็นฐานะมั่นคงของน้องเขย
"แกขับรถให้คุณเก๋นี่หว่า พอจะรู้ไหมว่าพรุ่งนี้คุณเก๋เข้าบริษัทตอนไหน"
"บ่ายโน่นแหละ ตอนนี้ก็ปร๋ออยู่พัทยากับเพื่อน ฉลองความโสดเริ่มต้นศักราชความหม้าย"
มานิตย์ยักไหล่เบื่อระอาเพื่อนหัวสูงของเจ้านายสาว นิสัยแบบนั้นก็สมควรให้สามีขอหย่า ดีแต่สวยกับเปรี้ยว คุณสมบัติแม่ศรีเรือนหาไม่เจอ เจ้านายสาวที่เขาแอบหลงรักก็ดูท่าว่าละม้ายคล้ายคลึง เฮ้อ.. ทำไงได้ รักไปแล้ว
อดิเรกมองเพื่อนทำตาปรอยแล้วอดโคลงศีรษะไม่ได้ เห็นใจว่าเพื่อนคิดหมายปองดอกฟ้า เจ้านายสาวไม่เคยชายตาแลเพื่อนรักด้วยฐานะอื่น นอกจากพนักงานฝ่ายสินเชื่อที่หน้าตาหล่อเหลา จนหล่อนชอบพาควงออกงานด้วย เอ้อ.. ดูเหมือนจะ.. แค่นั้นนะ
"หวังว่าไม่ลงแดงด้วยความคิดถึงตอนไปถึงเชียงใหม่นะเพื่อน" เขาสัพยอก แล้วกวาดมองข้าวของบนเก้าอี้แวบหนึ่ง
"เออ กำลังกังวลอยู่นี่แหละ ฉันไม่เข้าใจเลย มีผู้หญิงมาให้รักตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่รัก ไพล่ไปรักคุณเก๋ เธอไม่เคยเห็นหัวฉันสักนิด เรียกใช้เหมือนคนขับรถ"
ร่างสูงดูดีในชุดทำงานสีนวลยืนขึ้น บิดซ้ายบิดขวาขับไล่ความเมื่อยล้า เขาเพิ่งกลับจากพัทยา ผจญกับรถติดเป็นแพยาวตอนเข้าเขตกรุงเทพ น่าเบื่อมาก เอ๊ะ.. ความน่าเบื่อมากถูกขับไล่ด้วยความฉงน เมื่อสายตาปะทะกับร่างเล็กของสาวแปลกหน้า เธอลงมาจากบันได ใครกัน..
"ฉันชวนมาเป็นแม่บ้าน พรุ่งนี้จะขออนุญาตคุณบี" อดิเรกบอกเพื่อนก่อนที่เจ้าตัวจะถามเสียอีก
"ไปชวนมาจากไหน"
"เออ จากไหนก็ช่าง ชวนมาได้ก็แล้วกัน แกทำตัวเป็นพี่ที่ดีหน่อย อย่าก้อร่อก้อติกให้น้องมันเสียขวัญ"
"เฮ้ย นี่ฉัน.. มานิตย์รูปหล่อนะเว้ย เคยทำให้ผู้หญิงที่ไหนเสียขวัญวะ"
อดิเรกหัวเราะหมั่นไส้ เขาแนะนำให้หญิงสาวได้รู้จักกับเพื่อนอีกคน ทั้งสองส่งยิ้มกันตามมารยาท อดิเรกอมยิ้ม เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากอาสาหอบข้าวของไปเก็บให้ สามารถก็ไม่ขัดไมตรีล่ะ
"น่ารักนี่หว่า" เจ้าตัวปรารภตาปรอยตามหลังร่างเล็ก แล้วหันมาหลิ่วตากับอดิเรก
"น่ารักก็ต้องเอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ฉันขอล่ะ เด็กมันไม่มีที่ไป ไร้ที่พึ่ง แล้วก็.. เพิ่งจะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด แกอย่าไปทำรุ่มร่ามจนน้องมันเตลิดอีก"
อดิเรกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เพื่อนฟังไปผงกศีรษะไป ตาปรอยเปลี่ยนเป็นตาขรึม รู้สึกเวทนาสาวน้อยจนลืมท่าทางกรุ้มกริ่มของตัวเองเสียสนิท
"หน้าตาก็พอไปวัดได้ตอนสายๆ หุ่นไม่ดีนัก แต่ก็ไม่น่าอายหากจะควง ทำไมแกไม่ลองฉวยโอกาสนี้ หาคู่ครองให้ตัวเอง เฮ้ย ฉันว่าเธอเหมาะกับแกนานายอดิเรก"
คนฟังยิ้มเครียด ซัดตาขวางใส่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย เขาเพิ่งขอร้องไปหยกๆ ว่าอย่าคิดอกุศล ทำไปทำมา เพื่อนกลับมาโยนให้เขาเสียแล้ว คิดได้ยังไง
"ปากแกไม่สร้างสรรค์" เขาด่าเพื่อน "แกอย่าลืมว่าฉันเป็นคนช่วยชีวิตน้องออกมาจากความตายนะโว้ย หรือแกจะให้ฉันผลักกลับเข้าไปอีก นี่ถ้าเปรียบฉันตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสมภาร ไม่กินโว้ยไก่วัดน่ะ ไม่กิน"
มานิตย์หัวเราะร่วน ชอบใจที่เห็นเพื่อนหงุดหงิด แต่ลึกๆ แล้ว เขาดีใจมากที่คบหาอดิเรกไว้เป็นเพื่อน เพราะหนุ่มโสดร่างท้วมผิวคล้ำผู้นี้ เป็นคนดีมีเมตตา และรักเพื่อนรักพ้องยิ่ง ใครมีปัญหาเดือดร้อนอะไร วิ่งโร่มาให้ปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือ อดิเรกไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง เคยแม้กระทั่งออกหน้ายืมเงินบริษัทให้เพื่อนคนหนึ่ง แต่สุดท้ายเพื่อนก็เชิดเงินจำนวนนั้นหนีหน้าไปเลย จนป่านนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาช่วยผ่อนชำระหนี้ เพื่อนทุกคนสงสารอดิเรกกันทั้งนั้น แม้แต่เจ้านายหนุ่มก็ยังออกปากว่า ทั้งสงสารทั้งสมน้ำหน้า
แล้วเย็นวันนี้.. อดิเรกยังได้พิสูจน์ความเป็นคนดี ด้วยการหยิบยื่นไมตรีแก่สาวแปลกหน้าที่พบและรู้จักโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างกระทำดีต่อกัน กุศลจึงน้อมนำให้มาพักพิงใกล้เคียง แต่มันคงจะดีไม่น้อย หากสวรรค์จะเมตตาคนดีอย่างอดิเรก ดลใจให้สาวน้อยแปลกหน้าผู้นั้นมีใจโน้มเอียง ใช่แต่เขาเสียเมื่อไหร่ที่อยากเห็นอดิเรกมีความสุข มีคู่ครอง เพื่อนทั้งบริษัทก็เฝ้ารอเวลาที่ว่านั่น.. เหมือนกัน

เรื่องที่สับสน เรื่องที่วุ่นวาย จะทำยังไงนะ เมื่ออยู่โรงเรียนเดียวกัน ฉันจะชอบเธอได้ไหม ฉันจะรักเธอได้ไหม

เช้ารุ่งอรุณของวันเปิดเทอม "ดีใจสุดๆเลยหละที่ได้มาอยู่ในโรงเรียนนี้ สอบเข้ามาได้ดีใจมากมาย"วันนี้ป็นวันเปิดเทอมวันแรกของฉัน ฉันอยู่ม.1 ฉันดีใจมากๆเลยที่เข้าโรงเรียนนี้ได้โรงเรียนที่ฉันเข้าจะถือว่าเป็นดรงเรียนประจำจังหวัดเลยก็ว่าได้ ดูดีมากๆเมื่อเสาร์ที่แล้วเป็นการปฐมนิเทศน์ ฉันได้เพื่อนใหม่ตั้ง 1 คน ชื่อ ยูริน คิมยูรินแต่ไม่นับเพื่อนเก่าฉันนะ ฉันชื่อ จองซู โจจองซู ฉันมีเพื่อนสนิท อยู่ 5 คน1. ซองมิน คิมซองมิน(ชาย)2. ยุนนา ชองยุนนา(หญิง)3. จูยอน นัมจูยอน(หญิง)4. แตวู ปาคแตวู(ชาย)5. ชินยู จางชินยู(หญิง)เพื่อนของฉันนิสัยดี แต่ก็ไม่มากหรอกเท่าๆกับฉันนั้นแหละ แต่พวกเราเป็นเพื่อนที่รักกันมากๆๆๆไปไหนไปกัน เข้าเรียนไหนก็เรียนด้วยกันและที่ดีใจที่สุดฉันพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน พรหมลิขิตแท้ๆเกริ่นมาพอแล้ว มาถึงประโยคแรกที่ฉันพูดดีกว่า"ดีใจสุดๆเลยหละที่ได้มาอยู่ในดรงเรียนนี้......"ฉันไม่ได้พูดธรรมดาหนะ เกิบถึงขั้นตระโกนเลย เพื่อนฉันมันตกใจแถบตายแต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมากหรอกเพราะในโรงเรียนมีแค่ฉันกับเพื่อนและแม่ครัว"เธอพูดแบบนี้ดีใจไปมั้ง"ซองมินพูด"ไม่หรอกฉันว่าจะพูดอยู่แต่มันดันพูดก่อน"จูยอนพูดพร้อมกับส่งหางตางมา"เออๆ...พอเฮ้ย...ว่าแต่ห้องเรียนอยู่ไหนว่ะ"ฉันพูดบ้างด้วยที่ว่ากระเป๋าแบกสมุดมาสิบกว่าเล่ม หลังจะหัก"ฉันรู้พวกเราเอากระเป๋าไปเก็บเถอะ"ชินยูพูดทุกคนเงียบสงบ พร้อมใจกันเดินตามชินยูไปช่วยกันเม้นหน่อยนะ นี่เป็นงานเขียนชิ้นแรกให้กำลังใจด้วยนะ

น้ำหมักชีวภาพ อีกหนึ่งความมหัศจรรย์กับการปั้นน้ำ (ยาง) ให้เป็นตัว

น้ำหมักชีวภาพ” เป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพบว่า น้ำหมักที่ได้จากการนำเอาพืช ผัก ผลไม้ชนิดต่างๆ มาหมักกับน้ำตาลทำให้เกิดจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก ซึ่งน้ำหมักชีวภาพ มี 3 ประเภท คือ 1.น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ 2.น้ำหมักชีวภาพจากพืชผักสีเขียว 3.น้ำหมักจากพืชสมุนไพร ซึ่งในน้ำหมักชีวภาพจะประกอบด้วยกรดต่างๆ เช่น Lactic acid, Butyric acid, Propionic acid, Citric acid, Acetic acid และ Formic acid เป็นต้น ทำให้น้ำหมักชีวภาพมีประโยชน์ในการช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชให้สมบูรณ์ แข็งแรงตามธรรมชาติ ต้านทานโรคและแมลง ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น ช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่นและมีสภาพดีขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น้ำหมักชีวภาพได้รับความนิยมถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน จุดประกายให้ “ศุภชัย นิลดำ” นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ จังหวัดศรีสะเกษ มองเห็นโอกาสในการนำน้ำหมักชีวภาพมาใช้ช่วยทำให้น้ำยางธรรมชาติมีการจับตัวที่ดีขึ้น ทดแทนการใช้สารเคมี และเป็นที่มาของโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง การจับตัวน้ำยางธรรมชาติด้วยน้ำหมักชีวภาพ ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษมานำเสนอในงาน “มหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ประจำปี 2553” ระหว่างวันที่ 30 กรกฏาคม – 1 สิงหาค “ศุภชัย นิลดำ” บอกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะยางแท่งเอสทีอาร์ 20 ที่มีปริมาณการส่งออกมากที่สุด ประมาณ 80% ในกระบวนการผลิตยางแท่ง STR20 จะใช้ยางก้อนถ้วยเป็นวัตถุดิบหลัก การเตรียมยางก้อนถ้วยโดยทั่วไปจะใช้กรดฟอร์มิกในการจับตัวน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งกรดฟอร์มิกมีราคาแพง ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและใช้เวลาในการจับตัวนาน อาจก่อให้เกิดความเสียหายในช่วงฤดูฝน อีกทั้งยังเป็นสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้นหากพัฒนาน้ำหมักชีวภาพจนมีคุณภาพและนำมาใช้ทดแทนกรดฟอร์มิกในกระบวนการกระตุ้นการจับตัวกันของน้ำยางธรรมชาติได้ จะเป็นการช่วยลดต้นทุน และสร้างระบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งนี้ผลจากการทดลองใช้น้ำหมักชีวภาพทดแทนกรดฟอร์มิกปรากฏว่า น้ำหมักชีวภาพที่สามารถนำมาใช้แทนกรดฟอร์มิก คือ น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ที่มีความเข้มข้น 1.2 และ 4.0%โดยปริมาตร และน้ำหมักชีวภาพจากพืชผักสีเขียวที่มีความเข้มข้น 1.2% โดยปริมาตร ซึ่งน้ำหมักชีวภาพทั้ง 2 ชนิด สามารถจับตัวน้ำยางธรรมชาติได้สมบูรณ์และเร็วกว่าการใช้กรดฟอร์มิกถึง 10 เท่า แม้ที่ความเข้มข้นน้อยกว่า อีกทั้งเร็วกว่าน้ำยางธรรมชาติที่เสียสภาพตามธรรมชาติถึง 360 เท่า นอกจากนี้ จากการทดสอบคุณภาพของยางก้อนถ้วยตามมาตรฐานยางแท่งพบว่า ยางที่ได้จากการจับตัวด้วยน้ำหมักชีวภาพมีปริมาณสิ่งสกปรก ปริมาณเถ้า ปริมาณไนโตรเจน และปริมาณสิ่งระเหยใกล้เคียงกับการใช้กรดฟอร์มิก แต่ความอ่อนตัวเริ่มแรก มีดัชนีความอ่อนตัวของยาง และค่าความหนืดที่ดีกว่ายางที่ได้จากการเสียสภาพตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับการใช้กรดฟอร์มิก นอกจากนี้ การใช้น้ำหมักชีวภาพกระตุ้นการจับตัวของน้ำยางธรรมชาติเทียบกับการใช้กรดฟอร์มิก สามารถลดต้นทุนลงได้มากกว่า 50%มนี้ ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ทฤษฏีสัมพัทธภาพ ตอนที่ 3

ฉันยอมรับด้วยความยินดีต่อการร้องขอของผู้ร่วมวิชาชีพของคุณ ที่จะเขียนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่อง สัมพัทธภาพสำหรับเดอะไทมส์ หลังจากความล้มเหลวอย่างน่าเสียใจของการติดต่ออย่างจริงจังแบบเก่าระหว่างบุคคลที่มีความรู้ ฉันพอใจต้อนรับโอกาสของการแสดงความรู้สึกปิติยินดีและความสำนึกในบุญคุณของฉัน ต่อนักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ของประเทศอังกฤษ เพื่อให้เป็นไปตามประเพณีที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจจริงๆ ในเรื่องผลงานทางวิทยาศาสตร์ในประเทศของคุณที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง คงจะใช้เวลาและความพยายามไม่น้อย และสถาบันวิทยาศาสตร์ของคุณได้ยอมจ่ายอย่างไม่อั้น ที่จะทดสอบนัยแฝงเร้นของทฤษฏี ซึ่งได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์แบบและได้รับการตีพิมพ์ ในช่วงสงครามในดินแดนของศัตรูของคุณ แม้ว่าการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอิทธิพลของสนามโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่มีต่อรังสีแสงเป็นเรื่องเชิงวัตถุวิสัยโดยแท้ ฉันไม่สามารถอดกลั้นที่จะแสดงความขอบคุณเป็นการส่วนตัวของฉันไปยังผู้ร่วมวิชาชีพชาวอังกฤษ สำหรับงานของพวกเขาได้ ; เพราะโดยไม่มีมัน ฉันก็คงแทบจะไม่มีชีวิตที่จะได้เห็นการทดสอบนัยแฝงเร้นที่สำคัญที่สุดของทฤษฏีของฉัน เราสามารถจำแนกประเภทของทฤษฏีในฟิสิกส์ได้ พวกมันส่วนมากเป็นเชิงสร้างสรรค์ พวกเขาพยายามที่จะสร้างภาพในใจของปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อนมากขึ้นจากข้อเท็จจริงที่มีแบบแผนแบบเป็นทางการที่เมื่อเทียบแล้วถือว่าง่าย ซึ่งพวกเขาเริ่มต้นอย่างตั้งใจ ทฤษฏีจลน์ของแก๊สจึงพยายามที่จะเปลี่ยนกระบวนการเชิงกล , เชิงความร้อนและเชิงการแพร่กระจายให้เป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุล - คือการสร้างพวกมันจากสมมติฐานเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของโมเลกุล เมื่อเราพูดว่าเราได้ประสบความสำเร็จในการเข้าใจกลุ่มของกระบวนการทางธรรมชาติ เราหมายถึงเสมอว่า มีการพบทฤษฏีเชิงสร้างสรรค์ซึ่งครอบคลุมกระบวนการที่กำลังพูดถึงแล้ว ด้วยกันกับประเภทที่สำคัญที่สุดนี้ของทฤษฏีมีอีกประเภทหนึ่งอยู่ ซึ่งฉันจะเรียกว่า “หลักการ - ทฤษฏี” ทฤษฏีเหล่านี้ใช้วิธีการเชิงวิเคราะห์ไม่ใช่สังเคราะห์ องค์ประกอบที่ประกอบเป็นพื้นฐานและจุดเริ่มต้นของพวกมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นเรื่องสมมติ แต่เป็นองค์ประกอบที่ค้นพบโดยการทดลองและสังเกต , ลักษณะพิเศษโดยรวมของกระบวนการทางธรรมชาติ หลักการที่ทำให้เกิดหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดในเชิงคณิตศาสตร์ ซึ่งกระบวนการที่แยกจากกัน หรือการนำเสนอเชิงทฤษฏีของพวกมันจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามวิทยาศาสตร์เชิงอุณหพลศาสตร์จึงพยายามโดยวิธีการวิเคราะห์ ที่จะอนุมานความสัมพันธ์ที่จำเป็น ซึ่งเหตุการณ์ที่แยกจากกันต้องมีคุณสมบัติตตรงตาม จากข้อเท็จจริงที่เคยรู้อย่างเป็นสากลว่าการเคลื่อนที่ที่คงอยู่ตลอดไปนั้นไม่มี ข้อได้เปรียบของทฤษฏีเชิงสร้างสรรค์คือความสมบูรณ์ ความสามารถในการปรับตัวและความชัดเจน ข้อได้เปรียบของทฤษฏีเชิงหลักการคือ ความสมบูรณ์แบบทางตรรกะและความมั่นคงของรากฐาน ทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นของประเภทหลัง เพื่อที่จะเข้าจะธรรมชาติของมัน อันดับแรกเราจำเป็นต้องทราบถึงหลักการซึ่งมันอิง แต่ว่าก่อนที่ฉันจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ ฉันจะต้องตั้งข้อสังเกตว่า ทฤษฏีสัมพัทธภาพเหมือนกับอาคารที่ประกอบด้วยสองชั้นที่แยกจากกันคือ ทฤษฏีพิเศษและทฤษฏีทั่วไป ทฤษฏีพิเศษซึ่งทฤษฏีทั่วไปตั้งอยู่ ประยุกต์ใช้กับปรากฏการณ์เชิงฟิสิกส์ทั้งมวล ยกเว้นความโน้มถ่วง ; ทฤษฏีทั่วไปกำหนดกฏของความโน้มถ่วงและความสัมพันธ์ของมันกับแรงอื่นๆของธรรมชาติ แน่ละ เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปแล้วตั้งแต่สมัยกรีกโบราณว่า เพื่อที่จะอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุ จำเป็นต้องมีอีกวัตถุหนึ่งซึ่งใช้อ้างอิงการเคลื่อนที่ของวัตถุแรก การเคลื่อนที่ของยานพาหนะถือว่าอ้างอิงกับพื้นผิวของโลก การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์อ้างอิงกับจำนวนรวมของดาวฤกษ์ที่สามารถมองเห็นได้ ในฟิสิกส์ วัตถุซึ่งเหตุการณ์อ้างอิงในเชิงอวกาศ เรียกว่า ระบบพิกัด ยกตัวอย่างเช่นจะสามารถกำหนดกฏของกลศาสตร์ของกาลิเลโอและนิวตันได้ ด้วยความช่วยเหลือจากระบบพิกัดเท่านั้น แต่ว่าสภาพการเคลื่อนที่ของระบบพิกัดอาจจะไม่ได้ถูกเลือกมาอย่างไม่เจาะจง ถ้ากฏของกลศาสตร์จะต้องใช้ได้ (มันจะต้องไม่มีการหมุนและความเร่ง) ระบบพิกัดซึ่งอนุญาติให้ได้ในกลศาสตร์เรียกว่า “ระบบเฉื่อย” ตามกลศาสตร์สภาพการเคลื่อนที่ของระบบเฉื่อยไม่ใช่สภาพที่ถูกกำหนดอย่างมีลักษณะเฉพาะโดยธรรมชาติ ในทางตรงกันข้ามคำนิยามต่อไปนี้ใช้ได้ :- ระบบพิกัดที่เคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอและในแนวเส้นตรงสัมพัทธ์กับระบบเฉื่อยเป็นระบบเฉื่อยเช่นกัน “ หลักการพิเศษของสัมพัทธภาพ” นั้นเป็นการวางหลักเกณฑ์ทั่วไปของคำนิยามนี้ เพื่อที่จะรวมเหตุการณ์ตามธรรมชาติใดๆ อะไรก็ตาม : กฏสากลของธรรมชาติทุกกฏซึ่งใช้ได้ สัมพัทธ์กับระบบพิกัด C จึงจะต้องใช้ได้ด้วยๆ อย่างที่เป็นอยู่ สัมพัทธ์กับระบบพิกัด C’ ซึ่งกำลังเคลื่อนที่แบบเลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอสัมพัทธ์กับ C หลักการที่สอง ซึ่งทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษตั้งอยู่คือ “หลักการของความเร็วที่คงตัวของแสงในสุญญากาศ” หลักการนี้ยืนยันความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า แสงในสุญญากาศมีความเร็วของการแพร่กระจายที่มีขอบเขตชัดเจนแน่นอนในสุญญากาศเสมอ (ไม่ขึ้นกับสภาพของการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตหรือแหล่งกำเนิดของแสง) ความเชื่อมั่นซึ่งนักฟิสิกส์มีในหลักการนี้ถือกำเนิดจากความสำเร็จที่เกิดกับไฟฟ้า - พลศาสตร์ของเคลิร์ก แมกซ์เวลล์และโลเร็นตซ์ หลักการทั้งสองที่กล่าวไว้ข้างต้นได้รับการสนับสนุนอย่างมีพลังโดยประสบการณ์ แต่ดูเหมือนว่าไม่ลงรอยกันในทางตรรกะ ในที่สุดทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษประสบความสำเร็จในการไกล่เกลี่ยพวกมันในทางตรรกะโดยการปรับปรุงจลน์ศาสตร์ นั่นคือหลักการของกฏที่เกี่ยวข้องกับอวกาศและเวลา (จากมุมมองของฟิสิกส์) เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การพูดถึงความพร้อมกันของสองเหตุการณ์นั้นไม่มีความหมายยกเว้นสัมพัทธ์กับระบบพิกัดที่กำหนดให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่างของอุปกรณ์การวัดและอัตราเร็วซึ่งนาฬิกาเดินขึ้นอยู่กับสภาพของการเคลื่อนที่ของพวกมันเทียบกับระบบพิกัด แต่ฟิสิกส์แบบเก่าที่รวม กฏการเคลื่อนที่ของกาลิเลโอและนิวตันไว้ด้วยเข้ากันไม่ได้กับจลน์ศาสตร์เชิงสัมพัทธภาพที่เสนอ จากสิ่งหลังที่เงื่อนไขเชิงคณิตศาสตร์โดยรวมเกิดผลขึ้น ซึ่งกฏธรรมชาติจะต้องปรับให้กลมกลืนกับมัน ถ้าจะต้องใช้สองหลักการที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจริงๆ ต้องมีการปรับฟิสิกส์ให้เข้ากับสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ได้กฏใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่สำหรับจุดมวล (ที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว) ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างน่าชมเชยในกรณีของอนุภาคที่ถูกอัดประจุไฟฟ้า บทสรุปที่สำคัญที่สุดของทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษ เกี่ยวข้องกับมวลเฉื่อยของระบบเชิงวัตถุ ปรากฏว่าความเฉื่อยของระบบจำต้องขึ้นอยู่กับความจุ - พลังงานของมัน และนี่นำตรงไปสู่ความคิดที่ว่า มวลเฉื่อยเป็นพลังงานที่แฝงเร้นเท่านั้นเอง หลักการการอนุรักษ์ของมวลสูญเสียความเป็นอิสระของมันและกลายเป็นประสมประสานกันกับหลักการการอนุรักษ์ของพลังงาน แต่ว่าทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างเป็นระบบของไฟฟ้า - พลศาสตร์ของเคลิร์ก แมกซ์เวลล์และโลเร็นตซ์เท่านั้นเองได้ชี้บอกไกลเกินเลยตัวมันเอง ความเป็นอิสระของกฎเชิงฟิสิกส์ของสภาพการเคลื่อนที่ของระบบพิกัดควรจะถูกจำกัดอยู่แค่การเคลื่อนที่แบบเลื่อนที่ที่สม่ำเสมอของระบบพิกัดเทียบกันหรือเปล่า? ธรรมชาติเกี่ยวกับระบบพิกัดของเราและสภาพของการเคลื่อนที่ของพวกมันอย่างไร? ถ้ามันจำเป็นเพื่ออธิบายธรรมชาติ เพื่อจะใช้ประโยชน์จากระบบพิกัดที่เรานำมาใช้อย่างไม่เจาะจง ถ้าอย่างนั้นการเลือกสภาพของการเคลื่อนที่ของมันไม่ควรจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อจำกัด ; กฏควรจะเป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกนี้อย่างเต็มที่ (หลักการทั่วไปของสัมพัทธภาพ) การตั้งหลักการทั่วไปของสัมพัทธภาพนี้ถูกทำให้ง่ายขึ้นโดยข้อเท็จจริงของประสบการณ์ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปนานแล้ว นั่นก็คือว่าน้ำหนักและความเฉื่อยของวัตถุถูกควบคุมโดยค่าคงตัวเดียวกัน (ความเท่ากันของมวลเฉื่อยและมวลโน้มถ่วง) นึกภาพระบบพิกัดซึ่งกำลังหมุนอย่างสม่ำเสมอเทียบกับระบบเฉื่อยตามแบบระบบนิวตัน แรงหนีศูนย์กลางซึ่งแสดงตัวออกมาให้เห็นสัมพัทธ์กับระบบนี้ตามคำสอนของนิวตันจะต้องถูกมองว่าเป็นผลของความเฉื่อย แต่แรงหนีศูนย์กลางนี้ที่เหมือนแรงของความโน้มถ่วงอย่างไม่ผิดเพี้ยนเป็นสัดส่วนกับมวลของวัตถุ ในกรณีนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมองระบบพิกัดนี้ว่าหยุดนิ่งและแรงหนีศูนย์กลางว่าเป็นแรงโน้มถ่วงไม่ใช่หรือ? นี่ดูเป็นทัศนะที่ชัดเจนแต่กลศาสตร์แบบฉบับห้าม การพิจารณาอย่างรีบร้อนนี้ทำให้คิดว่าทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปจะต้องจัดหากฎของความโน้มถ่วงมาให้ และการดำเนินการความคิดนี้ต่อเพื่อให้ได้ผลที่ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ได้ทำให้ความหวังของเราเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่เส้นทางยุ่งยากกว่าที่เราคาดคิด เพราะมันต้องทิ้งเรขาคณิตระบบยุคลิด กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ กฏตามที่ซึ่งจะกำหนดวัตถุที่ถูกยึดให้อยู่กับที่ในอวกาศ ไม่ได้เข้ากันกับกฏเชิงอวกาศที่เรขาคณิตระบบยุคลิดเชื่อว่าเป็นของวัตถุอย่างสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่เราหมายถึง เมื่อเราพูดถึง “ความโค้งของอวกาศ” ด้วยเหตุนั้นแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ “เส้นตรง” “ระนาบ” และอื่นๆได้สูญเสียนัยสำคัญที่ถูกต้องชัดเจนของพวกมันไปในฟิสิกส์ ในทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป หลักการของอวกาศและเวลาหรือจลน์ศาสตร์ไม่ได้มีบทบาทเป็นหลักการพื้นฐานที่ไม่ขึ้นกับฟิสิกส์ที่เหลือ พฤติกรรมเชิงเรขาคณิตของวัตถุและการเดินของนาฬิกาค่อนข้างขึ้นอยู่กับสนามโน้มถ่วงซึ่งเมื่อได้โอกาสสสารสร้างขึ้น ทฤษฏีเชิงความโน้มถ่วงแบบใหม่แตกต่างอย่างมากในเรื่องหลักการจากทฤษฏีของนิวตัน แต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติของมัน ตรงกันกับผลลัพธ์ของทฤษฏีของนิวตันดีมากจนยากที่จะหาหลักเกณฑ์ตัดสินเพื่อแยกความแตกต่างของพวกมัน ซึ่งประสบการณ์ใช้ประโยชน์ได้ สิ่งที่มีการพบจนถึงขณะนี้ :-

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร ?

school.net (12,593 views) first post: Wed 11 August 2010 last update: Wed 11 August 2010
ไวรัส คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น

คณิตศาสตร์การเลือกคู่ครอง

สำหรับในวันนี้นะครับ ผมก็จะมานำเสนอเกี่ยวการใช้คณิตศาสตร์ในการเลือกคู่รักของเรา สงสัยละซิว่าเราจะเอาพวกตัวเลขยึกยื้ยพวกนี้ไปทำอะไรกับการเลือกคนรักของเรา โดยปกติแล้วเรื่องของหัวใจเราก็ต้องใช้หัวใจมาตัดสินซิ ถึงจะถูก แต่นี่เรากำลังเอาคณิตศาสตร์มาตัดสินใจ เราลองมาดูกันดีกว่าเราจะเอาคณิตศาสตร์อันยุ่งเหยิงมาตัดสินปัญหานี่ได้อย่างไร ปัญหานี่เป็นปัญหาที่มีหลายชื่อด้วยกัน เช่น Sultan’s dowry problem, Secretary Problem, best choice problem แล้วแต่คนจะเรียกกัน แต่ในวงการคณิตศาสตร์จะเรียกกันว่า Optimal Stopping Problem โดยชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมีเนื้อหาใจความของปัญหา ดังนี้ ในการเดาสุ่มอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องทำซ้ำหลายๆครั้ง ควรจะหยุดเมื่อไรจึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด นั่นซิ แล้วเราจะหยุดตรงไหนละ โดยปกติแล้ว หากเราใช้ความรู้สึกเดาเอาเราก็อาจจะได้ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ดวงของแต่ละคน ดังตัวอย่างในต่อไปนี้ หากเรามีตัวเลขที่เป็นเลขอะไรก็ได้ไม่ซ้ำกันเป็นจำนวน 50 ตัว แล้วให้เพื่อนของเราที่ไม่รู้ว่าเลขสูงสุดคือเลขอะไร หลับตาแล้วสุ่มหยิบ ออกมาเรื่อยๆจนกว่าเพื่อนจะพอใจในเลขนั้น โดยเลขที่เพื่อนเราหยิบออกมาแล้วมีสิทธิ์เลือกได้เพียงครั้งเดียวคือไม่สามรถกลับใจไปเอาเลขที่เราหยิบไปแล้วนั่นเอง จะทำให้เห็น ว่าบางคนก็ได้เลขที่มีค่าสูงใช้ได้ หากเป็นคนที่ดวงดีจริง ๆ บางคนก็ได้เลขที่ปานกลาง แต่ไม่มีค่าสูงมาก ก็เป็นกันไปตามดวงแต่หากเรานำเอาคณิตศาสตร์มาช่วยละก็ผลจะเป็นอย่างไรละ เราจะนำกฏ 37% มาใช้กันครับ สำหรับกฏ 37% สำหรับกฏนี้หลายคนอาจจะรู้จักกันแล้ว และผมเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักกับกฏข้อนี้ งั้งเรามาดูกันดีกว่าว่ากฏ 37% นี่มาได้อย่างไรให้เราสมมุติ ว่าชีวิตนี้เราจะมีแฟนไม่เกิน4คน (โห พ่อคนดี) แล้ว4คนนั้นก็ผ่านมาในชีวิตของเราโดยที่ไม่ได้เรียงว่าคนไหนดีมาก ดีน้อย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนดีที่สุด เราก็ต้องลองคบดู ถ้าเราสามรถให้คะแนนความพอใจกับแฟนเรา เป็นตัวเลข 1-4 เราก็สามารถแจกแจงได้ดังนี้ ตามตารางไม่ทดลองคบเลย คบไปหนึ่งคนแรก คบไป2คนแรก คบไป3คนแรก(แต่งงานกับคนแรก) (แต่งงานกับคนแรกที่ดีกว่าคนที่หนึ่ง)(แต่งงานกับคนแรกที่ดีกว่าคนที่2) (แต่งงานกับคนสุดท้าย)ต.ย.4123 ต.ย.1423 2143 ต.ย. 1243 1324 ต.ย. 3214 6 กรณี 11 กรณี 10 กรณี 6 กรณีจะเห็นได้ว่าหากเราเลือกคบทดลองเป็นแฟนไปก่อน 2 คนแรก แบบว่าประมาณเป็นกลุ่มตัวอย่างดูว่าคนไหนดีบ้างแบบเป็นบรรทัดฐานของคนที่จะแต่งงานของเรา ซึ่งจะมีโอกาศที่มากที่สุดที่เราจะได้คนดีมาเป็นคู้ครอง คือ 11 จาก 24 กรณี โดยที่ 24 กรณีคือความน่าจะเป็นที่เป็นคะแนนของเราให้ได้ คือ จำนวนที่เราสับเปลี่ยนเลข1, 2, 3, 4โดยที่เราได้ทดลองกันมาแล้วจะเห็นได้ว่ากลุ่มของตัวทดลองหรือบรรทัดฐานนั้นจะมีค่าเป็น 1/eหรือเท่ากับ0.367879441....เท่าของจำนวนครั้งที่ทดลองทั้งหมด ซึ่งก็คือ 37% นั่นเอง พอจะรู้แล้วละซิว่า กฏ37%นั่นมาจากไหน งั้งเรามาดูวิธีใช้กันดีกว่าก่อนที่จะตัดสินใจเลือกผลลัพธืในการเดาสุ่ม ให้พิจารณาตัวอย่างเป็นจำนวน 37% โดยที่เรายังไม่เลือกเจ้าตัวอย่าง 37% นี้ โดยใน 37% ให้เราหาค่าที่ดีที่สุดมาเป็นบรรทัดฐาน หลังจากนั้นให้เราเดสุ่มไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะเจอค่าที่สูงกว่าตัวอย่างของเรา ก็ให้เราเลือกค่านั้น ย้ำว่าให้เป็นตัวแรกที่สูงกว่ากลุ่มตัวอย่าง เพราะค่านั้นอาจจะเป็นค่าที่ดีที่สุดก็เป็นได้ งั้งเราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการตัดสิ้นใจในชีวิตประจำได้แล้วละครับดังนั้นหากเราต้องการมีแฟนไม่เกิน 10 คน ให้เราคบ 3-4 คนแรกเป็นกลุ่มตัวอย่างดูพฤติกรรมว่าใครดีที่สุด แล้วคบกับคนที่เหลือ หากใครดีกว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นคนแรกก็ ตกลงขอแต่งงานไปเลยครับ เราสามารถประยุกต์ได้หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็น การรับเลือกคนเข้าทำงาน การใช้จ่ายชื้อของ การทำมาค้าขายต่างๆนาๆและ การใช้กฏ 37 นี้จะมีผลดีกว่าเดาสุ่มตรงที่ หากเราใช้ในระยะยางเราได้ผลที่ดีกว่าใช้ดวงนั้นเองครับสุดท้ายนี้ก็ขอบอกว่าสำหรับใครที่คิดจะใช้ กฏนี้กับการหาคู้แท้ละก็ผมว่ามันจะดูใจจืดใจดำไปหน่อย ผมว่าเรื่องหัวใจก็คงต้องใช้หัวใจตัดสินจะเป็นดีที่ สุดละครับ